การปฏิวัติของท่านอิมามโคมัยนี (รฏ.) ขบวนการอาชูรอแห่งยุคสมัย

218

‘บะฮ์ลูล’ เป็นสาวกที่ใกล้ชิดและสำคัญของอิมามญะฟัร ซอดิก (อ.) ท่านหนึ่ง เราเป็นชีอะฮ์ควรรู้จักท่าน เพราะท่านมีความรู้ กระทั่งทำให้ท่านนั่นตกอยู่สภาวะอันตราย ท่านอิมามญะฟัร ซอดิก (อ.) ได้ส่งจดหมายไปหาบะฮ์ลูล เมื่อบะฮ์ลูลเปิดจดหมายพบว่า ไม่มีข้อความใดเลย ยกเว้นอักษร ‘ญีม’ เพียงตัวเดียว… ทว่า…บะฮ์ลูลก็เข้าใจในคำสั่งนั้น ! เมื่อตื่นเช้ามา ‘บะฮ์ลูล’ ก็ขี่ม้าก้านกล้วย วนเวียนไปรอบเมืองมะดีนะฮ์ แสดงตนเป็นคนบ้า เพื่อให้คนอื่นๆ เข้าใจว่าตนบ้า เพื่อให้ชีวิตรอดพ้นจากการตามล่า ต้องแสดงตนเป็นบ้า นั่นเพราะอิมามญะฟัร ซอดิก (อ.) สั่ง ขณะที่บะฮ์ลูลแสดงตนเป็นคนบ้านั้น ท่านได้ทิ้งฮิกมะฮ์ (วิทยปัญญา) ต่างๆ มากมายตามที่ถูกบันทึกไว้ ที่ข้าพเจ้าเล่าเรื่องบะฮ์ลูล

เพราะมีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกัรบาลา ในริวายะฮ์ได้กล่าวว่า ท่านบะฮ์ลูลได้เดินทางไปยังเมืองมักกะฮ์ เพื่อทำพิธีฮัจญ์ หรือ อุมเราะฮ์ เมื่อถึงอัลกะบะฮ์ ท่านบะฮ์ลูลก็ตะโกนออกมาว่า “สวยมาก ยิ่งใหญ่มาก ผู้คนมากมายเจ้าช่างมีเกียรติอย่างมาก แต่เจ้า โอ้….กะบะฮ์เอ๋ย เจ้าจงอย่าลืมบุญคุณของศาสดามุฮัมมัด (ซล.) เหตุเพราะถ้าไม่มีมุฮัมมัด (ซล.) แล้วไซร้ เจ้านี่แหละจะเป็นที่ตั้งของเจว็ดอย่างมากมาย” หลังจากนั้นไม่นาน บะฮ์ลูลก็กลับเข้าไปยังเมืองมะดีนะฮ์เพื่อที่จะไปเยี่ยมสุสานท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) และบะฮ์ลูลได้กล่าวว่า “เพื่อขอบคุณศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮ์ (ซล.) ในความเหน็ดเหนื่อย ในความยากลำบาก ที่ได้นำเราสู่ศาสนาแห่งความดี

ฉันได้สั่งเสียกับกะบะฮ์แล้วว่า อย่าลืมบุญคุณของท่าน ในความเสียสละที่ท่านได้พลี แต่ทว่า โอ้ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซล.) ท่านอย่าลืมบุญคุณของอิมามอะลี (อ.) เพราะหากไม่มีอิมามอะลี (อ.) แล้วไซร้ ความเสียสละ ความอดทน ทุกสิ่งที่ท่านได้สร้างมา ความบริสุทธิ์ที่ท่านได้กระทำนั้นอาจไม่เหลือเลยสักนิด มันก็จะสูญสลายมลายหายไปหากไม่มีอิมามอะลี (อ.)” และหลังจากนั้นไม่นานท่านบะฮ์ลูล ก็ได้เดินทางไปยังเมืองนะญัฟ ไปเยี่ยมสุสานของอิมามอะลี (อ.) และได้กล่าวว่า “ขอบคุณท่าน โอ้อมีรุลมุอ์มีนีน ในการเสียสละของท่าน ในความมัซลูม (ถูกอธรรม) ของท่าน ที่ได้ปกปักษ์รักษาศาสนาของมุฮัมมัด (ซล.) จนคงอยู่ถึงเราทุกวันนี้ หากมิใช่เพราะคมดาบของท่าน หากมิใช่เพราะความเสียสละตลอดชีวิตของท่าน ศาสนาอันบริสุทธิ์ที่ศาสดามุฮัมมัด (ซล.) นำมาก็คงไม่หลงเหลืออยู่เลย

แต่ทว่า อย่าลืมบุญคุณของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ด้วย เพราะหากไม่มีอิมามฮุเซน (อ.) ศาสนาอิสลามก็คงไม่หลงเหลือใดๆ อีกเลย” “หากไม่มีอิมามฮุเซน (อ.) แล้ว กะบะฮก็เป็นเพียงบ้านแห่งเจว็ด หากไม่มีอิมามฮุเซน (อ.) แล้ว คำสั่งสอนของศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ก็จะถูกบิดเบือนทั้งหมดจนไม่เหลืออะไร หากไม่มีการพลีของอิมามฮุเซน (อ.) แล้ว การเสียสละของท่าน ดาบของท่านที่ปกปักษ์รักษาก็ไม่มีค่าใดๆ” แล้วท่านบะฮ์ลูลก็เดินทางไปยังเมืองกัรบาลา ไปเยี่ยมอิมามฮุเซน (อ.)

แน่นอนว่า โศกนาฏกรรมของอิมามฮุเซน (อ.) ที่บะฮ์ลูลกล่าวออกมานั้นมีมากมาย “โอ้อะบาอับดิ้ลลาฮ์ ความสูญเสีย ความเสียสละทั้งหมดของท่านได้ปกปักษ์รักษาดีนของตาของท่าน ถ้ามิใช่เพราะท่าน ป่านฉะนี้อิสลามของศาสดามุฮัมมัดก็คงกลายเป็นอิสลามของบนีอุมัยยะฮ์ไปแล้ว” “บนีอุมัยยะฮ์พยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทาง เพื่อให้มวลมุสลิมลืมคำสั่งสอนของศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ปราศจากการพลีที่กัรบาลา อิสลามก็คงจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย เหมือนกับทุกศาสนาที่ถูกบิดเบือน ที่ได้ถูกสังคายนา ดังนั้นความเสียสละของท่านช่างยิ่งใหญ่เสียนี่กระไร แต่ทว่า ท่านอย่าลืมบุญคุณของท่านอับบาส (อ.) และท่านหญิงซัยนับ (อ.) เพราะหากไม่มีความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของท่านอับบาส (อ.) และหญิงซัยนับ (อ.) แล้ว ไซร้ เรื่องราวแห่ง กัรบาลาก็จะถูกลืมเลือน”

นั่นก็เพราะหลังจากเหตุการณ์กัรบาลา ก็มีคนพยายามที่จะทำลายให้เรื่องราวเหล่านี้ถูกลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่เพราะวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ของท่านหญิงซัยนับ (อ.) ที่รักษาวีรกรรมนี้ไว้ได้ ที่รักษาได้ด้วยหยาดน้ำตา และแน่นอนว่า น้ำตาเป็นวีรกรรมของวีรสตรีและเด็กๆ ถ้าหากมิใช่ด้วยน้ำตาของวีรสตรีและเด็กๆ แล้วไซร้ เรื่องราวแห่งกัรบาลาก็จะถูกบิดเบือนไปในรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการรำลึกที่ไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ เลย และนี่คือความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามั่นใจเหลือเกินว่า หากวันนี้ท่านบะฮ์ลูลยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็จะขี่ม้าก้านกล้วย แล้วมาไปยังกรุงเตหะราน ไปยังกุโบร์ของอิมามโคมัยนี (รฎ.) และจักขอบคุณอิมามโคมัยนี (รฎ.) ผู้ที่ทำให้อิมามฮุเซน (อ.) กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง ! นั่นเพราะ หลังจากที่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) เป็นชะฮีดแล้ว ยังไม่มีใครทำให้มีชีวิตชีวาเกิดขึ้น หรืออาจจะทำแต่ก็ไปได้เพียงจุดๆ หนึ่ง

หากแต่ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) คือผู้ที่สามารถสถาปนารัฐแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ขึ้นมาได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยพี่น้อง ! นั่นเพราะ หลังจากที่รัฐอิสลามของอิมามอะลี (อ.) ถูกโค่นลง แนวทางของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ก็ไม่มีอำนาจปกครองอีกเลย ทั้งๆ ที่ความชอบธรรมอยู่ที่อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ทว่า อำนาจของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ก็ได้หวนกลับมาอีกคำรอบหนึ่งเมื่อการสถาปนารัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้บังเกิดขึ้น ! ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้ประกาศให้ชาวโลกรับรู้ และจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า นี่คือประเทศของ ‘มัซฮับชีอะฮ์อิษนาอะชารียะฮ์’ ! ปกครองโดย ‘ฟิกฮ์’ (ศาสนบัญญัติ) ที่เป็นของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ! และมีตัวอย่างมากมายที่เป็นข้อพิสูจน์ว่า นี่คือรัฐแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) อย่างแท้จริง

ที่ข้าพเจ้าใคร่นำมาเสนอคืนนี้คือ เรื่องราวสำคัญที่เกิดขึ้นสองเรื่อง อันเป็นเรื่องที่รับรู้กันทั้งโลก กับเป็นเรื่องที่รับรู้เฉพาะในสมัยนั้น เรื่องที่รู้กันทั้งโลกคือ เมื่อตะวันตกดูหมิ่นอิสลาม โดยให้ ‘ซัลมาล รุชดี’ เขียนหนังสือขึ้นมา เพื่อดูหมิ่นศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซล.) โดยมีการวางแผนอย่างละเอียดอ่อน เพื่อให้โลกรู้ว่า ‘ศาสดามุฮัมมัด (ซล.) นั้นไม่มีเกียรติใดๆ ’ อันที่จริง วิธีการต่างๆ เหล่านี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ยุคสมัยของ ‘บนีอุมัยยะฮ์’ หรือ ‘บนีอับบาส’ หากแต่ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรได้ เมื่ออิมามโคมัยนี (รฎ.) รับรู้ข่าวนี้ ก็ได้ออกคำฟัตวา ว่า ‘ผู้ที่เขียนหนังสือ ผู้ที่แปลหนังสือนี้ ผู้ที่จำหน่าย ผู้ที่แจกจ่าย และผู้ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือนี้ทั้งหมด ต้องตายสถานเดียว และมุสลิมที่เขาได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้แล้วเสมือนเขาได้ตายเป็นชะฮีด (พลีชีวิตในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า !’ นี่คือคำฟัตวาของ ‘ฮากิมมุลชัรอีย์’ ! นับตั้งแต่วันนั้นถึงตอนนี้ “ซัลมาล รุชดี” หายเข้าไปในกลีบเมฆ หนังสือเล่มนี้ถูกหยุดพิมพ์

ดังนั้นเรื่องราวเช่นนี้ ถ้าหากไม่ใช่รัฐแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) แล้ว ย่อมไม่สามารถปกป้องเกียรติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ไว้ได้อย่างแน่นอน ! อีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดในวันประสูติของท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ.) เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้กันน้อยมาก และก็ถูกปกปิด ข้าพเจ้าและบรรดานักเรียนศาสนาที่เรียนรุ่นเดียวกัน จะจดจำเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี ครั้งนั้นมีการรณรงค์เกี่ยวกับท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ.) ในอิหร่าน สื่อมวลชนจึงได้มีการให้สัมภาษณ์บุคคลต่างๆ และในวันนั้นนักข่าวได้นำไมค์ไปจ่อที่ปากของหญิงสาวคนหนึ่ง แล้วถามว่า ในทัศนะของท่านใครเป็นผู้หญิงที่เป็น ‘ไอดอล’ เป็นแบบอย่างของกุลสตรี ? หญิงคนนั้นก็บอกว่า ‘โอชิน’ ผู้หญิงญี่ปุ่นที่สู้ชีวิต ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ‘โอชิน’ คือ ‘ไอดอล’ ของผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ นักข่าวก็ถามต่อว่า แล้วท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ.) ล่ะ? ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า เป็นเรื่องเก่าเรื่องโบราณแล้ว ไม่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้

ปรากฏว่าในขณะนั้น ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) เปิดวิทยุฟังอยู่พอดี ทันทีที่การสัมภาษณ์จบลง ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) สั่งให้เจ้าหน้าที่ในสำนักงานของท่านอ่านสาส์น ออกไปทางทีวี วิทยุ สื่อทุกแขนงทั้งหมดทันที ว่า ผู้สัมภาษณ์ ผู้ถ่ายทอด และไม่ว่าบุคลใดก็แล้วแต่ที่เกียวข้องกับการสัมภาษณ์นั้น ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่า ‘จงใจ’ โทษคือประหารชีวิตทั้งหมด ! …แผ่นดินนี้ไม่มีใครสามารถที่จะจาบจ้วงอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ได้เป็นอันขาด ! เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นจึงเข้ามาขอโทษท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) แล้วบอกว่าฉันผิดไปแล้ว พลาดไปแล้ว ท่านจึงสั่งเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบอีกครั้งให้ชัดเจนว่าเจตนาหรือไม่ หากเจตนาก็สั่งประหารชีวิตทั้งหมด และที่จริงแล้วในฟิกฮ์ (ศาสนบัญญัติ) ความผิดนี้มีโทษถึงตายสถานเดียว ไม่มีการอภัยใดๆ ได้ยินตรงไหนฆ่าตรงนั้น นี่คือรัฐที่ปฏิเสธความอัปยศ

การที่ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ออกฟัตวาให้ฆ่า ‘ซัลมาล รุชดี’ นั้นบางครั้งอาจทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมากให้กับประเทศอิหร่าน แต่ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ยอมรับทั้งหมด และปฏิเสธที่จะไม่ถอนคำฟัตวา เพื่อแลกกับการให้ประเทศอิหร่านนั้น ได้เปิดการค้าขายระหว่างยุโรป เพื่อประเทศอิหร่านจะได้เจริญรุ่งเรือง เพราะอิมามโคมัยนี (รฎ.) ถือว่า นั่นคือ ความอัปยศ ! ดังนั้น นี่คือหน้าที่ของเราทุกคน ให้รู้เอาไว้ว่า ชีอะฮ์ที่แท้จริง ผู้ที่รักท่านอิมามฮุเซน (อ.) อย่างแท้จริง จะต้องเป็นผู้รักษารัฐอิสลามแห่งนี้เอาไว้ จะต้องเป็นผู้พิทักษ์รักษาระบบ ‘วิลายตุลฟากิฮ’ อันนี้เอาไว้ เพราะนี่คือรัฐที่เป็นผลผลิตแห่งกัรบาลา บุคคลที่นำเสนอสิ่งอื่นนอกจากสิ่งนี้ บุคคลที่พยายามแยกชีอะฮ์ออกจากการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน คือ บุคคลที่ทรยศต่อท่านอิมามฮุเซน (อ.)

และเพื่อให้อิสลามที่บริสุทธิ์นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ว่าจะสูญเสียสักเพียงใดท่านอิมามฮุเซน (อ.) ก็ต้องยอม และท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ก็ได้ปฏิวัติเพื่อให้กัรบาลานั้นมีชีวิตอยู่ต่อไป ดร.อะลี ชะรีอะตี ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งและได้แบ่งชีอะฮ์ออกเป็นสองประเภทด้วยกัน โดยกล่าวว่า เหตุการณ์กัรบาลาสร้างชีอะฮ์ มาสองประเภท คือ ระหว่าง ‘ชีอะฮ์ดำ’ กับ ‘ชีอะฮแดง’ ‘ชีอะฮดำ’ คือ ชีอะฮที่ไว้ทุกข์ ไว้อาลัย ไม่มีอะไรนอกจากร้องเพลงมะตั่ม แต่งเพลงมะตั่ม ทุกปีคือร้องไห้ ร้องเพลงมะตั่ม ฟังมุศีบัต ไม่มีอะไร จะอยู่ภายใต้การปกครองอะไรเขาไม่สนใจ ไม่ข้องเกี่ยว สภาพการเป็นอยู่ทางการเมืองเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม จะอัปยศอดสูสักเพียงใดเขาก็อยู่ไป

เมื่อครบรอบปีก็ มะตั่ม รำลึกอิมามฮุเซน (อ.) ให้ได้สักครั้งหนึ่ง เพื่อจะเอาผลบุญ ดร.อาลี ชะรีอาตี เรียกพวกชีอะฮ์เหล่านี่ว่าพวก ‘ชีอะฮดำ’ ซึ่งอิมามฮุเซน (อ.) ไม่ได้ปฏิวัติเพื่อให้ชีอะฮ์มาเป็นชีอะฮ์ดำ แต่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ปฏิวัติเพื่อให้ชีอะฮ์เป็น ‘ชีอะฮ์แดง’ ‘ชีอะฮ์แดง’ นั้นก็คือ ชีอะฮ์ที่พร้อมที่จะแสดงวีรกรรม ถ้าเป็นสตรีก็พร้อมที่จะถอดแบบอย่างของท่านหญิงซัยนับ (อ.) พร้อมที่จะถอดแบบของ “อุมมุกุลซูม” พร้อมที่จะถอดแบบบรรดามารดาของวีรบุรุษ ที่ได้แสดงวีรกรรมไว้ในกัรบาลา และชีอะฮ์แดงนั้น ไม่พร้อมจะยอมรับชีวิตที่อัปยศอดสู ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือความฝัน ที่ท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ทำได้สำเร็จ

เราจะไม่ขอบคุณท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้อย่างไร? ในเมื่อคนอิหร่านได้เสียสละชีวิตหลายแสนคน เพื่อให้เกิดรัฐอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) แห่งนี้ขึ้นมา ! เราจะต้องไม่ให้โอกาสแก่ชีอะฮ์คนใด ไม่ว่าคนผู้นั้นจะใส่อามาม่า (สาระบัน) ใหญ่โตสักขนาดไหน คนเหล่านี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะนำเสนอสิ่งแปลกปลอมใดๆ ความเชื่อในลักษณะที่ปฏิเสธการ ‘ปฏิวัติของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.)’ ในลักษณะปฏิเสธ ‘วีลายาตุลฟากีฮ์’ เพราะนั่นคือความเชื่อ ที่จะนำชีอะฮ์กลับสู่ความอัปยศอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่เรื่องราวแห่งกัรบาลานั้น เกิดขึ้นมาเพื่อที่จะปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความอัปยศ ด้วยวิธีการมากมาย และหลากหลาย วิธีที่มนุษย์จะต้องเป็นบุคคลที่ออกจากความอัปยศ นั่นแหละคือผู้สำเร็จอย่างแท้จริง

โดย ซัยยิด สุไลมาน ฮุซัยนี