ดังนั้น ดังที่กล่าวไปข่างต้น ว่า การอิศละฮ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการอิศละฮ์อุมมัตของรอซูลลุลลอฮ์ (ซล.) ทว่า อิศละฮ์ อะไร ??อิศละฮ์อุมมัตของศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ก็คือ อิศละฮ ‘ดีน’ !!วันนี้อิสลามอันบริสุทธิ์ ที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) นำมานั้น ไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว!! …ลูกซีนา คนดื่มเหล้า คนที่ทำบาปต่อหน้าสาธารณชน สามารถขึ้นมาเป็นคอลีฟะฮ์ !!…บุคคลที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) เคยสาปแช่ง ได้ขึ้นมาบนแท่นกล่าวเทศนาธรรมของท่าน !!
ในฮะดิษของพวกเขาเองก็มีหลักฐานยืนยันว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ได้เคยสาปแช่งบุคคลเหล่านี้ สาปแช่ง ‘บนีอุมมัยยะฮ์’ ‘มัรวาน บินฮะกัม’ แต่ในวันหนึ่งบุคคลเหล่านี้กลายเป็นตัวแทนของศาสนา? เป็นอามีรของผู้ศรัทธา? และขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์? ‘ศาสนา’ หรือ ‘ดีน’ จึงไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว !!
แล้วอิศละฮด้วยอะไร ?อิศละฮ์ ด้วย ชีวิตของผู้ศรัทธา !!ต่อไปนี้คืออีกหนึ่งวาทกรรมที่ยิ่งใหญ่ และ ด้วยวาทกรรมอันนี้แหละ ที่ได้สร้างผู้ยอมสละชีพเพื่อศาสนาตลอดเวลา นั่นคือ คำกล่าวของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ที่ว่า ان كان دين محمد لم يستقم الا بقتلي فيا سيوف خزيني “มาตรแม้นว่า ดีนของมุฮัมมัด (ซล.) ไม่สามารถที่จะยืนหยัดได้แล้ว และการจะทำให้ดีนนี้ฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีวิธีอื่นใดเว้นแต่การฆ่าฉัน โอ้ดาบเอ๋ย จงมาเอาฉัน จงมาฆ่าฉันเถิด”
ในกัรบาลามีวาทกรรมที่ยิ่งใหญ่ อันที่จริงในทุกขบวนการย่อมมีวาทกรรม หากแต่ทุกวาทกรรมถ้าต้องการจะรู้ว่าจริงแท้หรือไม่ ก็ต้องพิจารณาที่ ‘วีรกรรม’ ในขบวนการนั้นๆ กระนั้นจะมีสักกี่ขบวนการเล่าที่สามารถจะแสดงวีรกรรม?? การแสดงวีรกรรมได้หรือไม่นั้นจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง…
ทว่า ที่กัรบาลานั้น ทุก ‘วาทกรรม’ ได้ถูกพิสูจน์ตามมาด้วย ‘วีรกรรม’ ทั้งสิ้น ไม่ว่าวาทกรรมของเด็ก วาทกรรมของคนเฒ่า คนชรา บุรุษ และ สตรี…ทุกวาทกรรมล้วนพิสูจน์ด้วยวีรกรรมทั้งหมด !!และบางครั้ง วีรกรรมนั้นเข้มข้นยิ่งไปกว่าวาทกรรม !!พวกเขา ‘พูด’ …แล้วปฏิบัติได้มากกว่าที่พูด !!
นี่คือเหตุผลที่ ‘ขบวนการนี้เป็นอมตะ’ …เหมือนประโยคนี้ของอิมามฮุเซน (อ.) ที่ ว่า ‘فيا سيوف خزيني’ (โอ้คมดาบทั้งหลายเอ๋ย จงมาฆ่าฉัน) แต่วีรกรรมที่แสดงนั้น มันหนักกว่าการฆ่าฟัน…มันหนักกว่าฆ่าฟัน… ทว่าอิมามฮุเซน (อ.) ก็ได้ยืนหยัด ด้วยวาทกรรม อันนี้
ถ้าดูจากวาทกรรมนี้ อิมามฮุเซน (อ.) ได้ท้าทายปวงดาบ ให้มาฟาดฟันท่าน เพื่อให้การฟาดฟันนั้น เป็นหลักในการยืนหยัดต่อไปของศาสนาของตาของท่านหากแต่วีรกรรมที่แสดงออกมานั้น มากเสียกว่าการโดนคมดาบฟาดฟันหลายเท่ายิ่งนัก
คำอธิบายก็คือ เมื่อถึงเวลาของการพิสูจน์ของอิมามฮุเซน (อ.) ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้เข้าไปในกระโจม และบอกให้ท่านหญิงซัยนับ (อ.) หาเสื้อผ้าที่เก่าที่สุด เสื้อผ้าที่กำลังจะเปื่อยยุ่ย เอามาสวมใส่ไว้อยู่ชั้นในสุดของร่างของท่าน
แน่นอนว่า มนุษย์ปกติธรรมดาก็ย่อมไม่เข้าใจว่า คนที่กำลังจะออกไปสู้รบ ไยจึงเรียกหาเสื้อผ้าเก่าที่ไร้ค่า?? หลังจากนั้นท่านได้คลุมผ้าที่ท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ.) ได้เตรียมไว้ให้ แล้วจึงใส่ชุดเสื้อเกราะของนักรบ และท่านก็ได้ออกไปรบ
ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ออกไปรบเพื่อที่ท่านจะพิสูจน์วาทกรรมที่ท่านได้พูด ว่า ‘ โอ้ ดาบทั้งหลายจงมาฆ่าฉัน”ท่านได้รบอย่างห้าวหาญ อิมามฮุเซน (อ.) ไม่ได้เกรงกลัวคมดาบ ดาบแล้วดาบเล่าที่ได้ฟาดฟันไปบนร่างของท่าน ก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งความเข้มแข็งของท่านได้
จนกระทั่งธนูอัปยศสามแฉก ซึ่งเหมือนกับที่ได้เคยพุ่งไปยังคอหอยของ “อาลีอัซกัร” และธนูดอกนั้นก็ได้พุ่งไปยังหัวใจของท่านอิมามฮุเซน (อ.) !!นักรบที่โดนธนูสามแฉกสามหัวที่ปักไปที่กลางหัวใจ ทว่าอิมามฮุเซน (อ.) ได้ดึงธนูออกมาทันที หลังจากได้ดึงธนูนั้นออกแล้วก็ได้รีบเอามือของท่านไปรองเลือดที่พุ่งออกมาจากหัวใจ
ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ไม่ได้ตกใจกับเลือดที่พุ่งออกมาจากหัวใจของท่าน ทว่าอิมามอิมามฮุเซน (อ.) ได้ป้องเลือดนั้นแล้วก็ไปลูบที่หน้า ลูบไปที่ตัว ลูบไปที่ขา จนทำให้ร่างกายของท่านนั้นอาบโชกไปด้วยเลือดทั้งตัวของท่าน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเลือดนั้นไม่ได้ทำให้ท่านเกิดความหวาดกลัวแต่อย่างใด
แต่มันกลับยิ่งสร้างความห้าวหาญให้กับท่านอิมามฮุเซน (อ.) ในเมื่อเลือดของชะฮีดนั้นมีค่า ฉันจะละเลงเลือดทั้งหมดไปบนร่างของฉัน และจะกลับไปยังอัลลอฮ์ (ซบ.) ด้วยเลือดที่ฉันนั้นละเลงไปยังร่างของฉัน อิมามฮุเซน (อ.) ก็ได้เอาเลือดนั้นลูบไปที่ใบหน้า ลูบไปที่ตัวของท่าน จากนั้นก็ยังคงมุ่งรบอีกต่อไป “แบบละเลงเลือดพลี”
จากหนังสือ “ปรมัตถ์แห่งการพลี สดุดีอาชูรอ” โดยฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี