ความหมายของ “ทายาท” คืออะไร?

189

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจนิยามของคำว่า ‘ทายาท’ ‘ทายาท’ คือ บุคคลที่ได้รับมรดก ‘มรดก’ คือ สิ่งที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ หรือ ตระกูล การเป็นทายาทของมนุษย์ตรงนี้ ในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่า มีการถ่ายทอดทั้ง ‘กายภาพ’ และทั้ง ‘จิตวิญญาณ’ สองสิ่งนี้เป็นมรดกสำหรับมวลมนุษยชาติ ทั้งนี้มนุษย์ มีมรดก 2 ประเภท ให้กับลูกหลาน และทายาท
ประเภทที่หนึ่ง เป็นมรดกทางด้านกายภาพ คือ ทรัพย์สินเงินทอง ที่ดิน ฯลฯ ประเภทที่สอง คือ มรดกทางด้านจิตวิญญาณ

ณ วันนี้นักวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยา ยอมรับว่า การถ่ายทอดลักษณะนิสัย จิตวิญญาณ จะถ่ายทอดจาก ‘ดีเอ็นเอ’ ของบรรพบุรุษ สู่ลูกหลาน ตัวอย่างง่ายๆ ในเรื่องนี้ เช่น แม่ที่ตั้งครรภ์สามารถกำหนดพฤติกรรมของบุตรได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ อันที่จริงในอิสลามนั้น การกำหนดพฤติกรรมของบุตรมี ตั้งแต่อยู่ที่ชั้นสวรรค์ดาวดึงส์ ตั้งแต่ยังไม่มีการปฏิสนธิ อาหารที่กินไป เปลี่ยนมาเป็นเลือด และจากเลือดกลายมาเป็นหยดน้ำอสุจิ จากหยดน้ำอสุจิเป็นสเปิร์ม แล้วเข้าไปอยู่ในรังไข่แล้วเกิดการปฏิสนธิ ที่จริงแล้วอิสลามถือว่า สามารถกำหนดพฤติกรรมได้ และตรงนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับแล้วว่า แม่ตั้งครรภ์สามารถกำหนดพฤติกรรมของบุตรได้ จะให้ลูกชอบอะไรก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของมารดา

นักวิทยาศาสตร์ในประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองหญิงตั้งครรภ์สองคน คนหนึ่งอ่านหนังสือ อีกคนหนึ่งฟังเพลง เมื่อคลอดมาแล้วลูกก็เป็นไปอย่างนั้นหมด แม่ที่สนใจอ่านหนังสือลูกก็เป็นนักวิชาการ แม่ที่ฟังดนตรี ลูกก็เป็นนักดนตรีในอนาคต ดังนั้นถ้าหากทำแบบจริงๆ จังๆ แล้ว การถ่ายทอดก็สมบูรณ์ มรดกที่ได้รับมาก็สมบูรณ์ และมรดกทางจิตวิญญาณอันนี้ รับได้ทั้งด้านลบ และทั้งด้านบวก เป็นทายาทแห่งมรดกทางจิตวิญญาณ เราจะเห็นบรรดาอุลามาอ์จำนวนหนึ่งชี้ว่า “สภาวะทางจิตวิญญาณ” เป็นมรดกตกทอดของมนุษย์ทั้งทางด้านลบทั้งทางด้านบวก

ท่านอัลลามะอ์ นารอกี (รฎ.) หนึ่งในอุลามาอ์ชั้นสูงด้านอัคลาค (จริยศาสตร์) ได้เขียนไว้ในหนังสือ ‘ญามิอุสสะอาดะฮ์’ (ซึ่งนักเรียนศาสนาทุกคนจะต้องรู้จัก) ว่า วันหนึ่งท่านได้เดินกลับบ้าน และพบว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังเอะอะโวยวายอยู่หน้าบ้าน ปรากฏว่าเป็นคนขายนม โดยนมของเขานั้นบรรจุในถุงหนัง แล้วโดนลูกชายของท่าน เอามีดไปจิ้มจนถุงนมแตกและหกหมด เมื่อท่านรู้เรื่องราวว่าเป็นเช่นนั้นก็ได้ชำระค่าเสียหายไป แล้วพาลูกชายเข้าบ้านเมื่อเข้าภายในบ้านแล้ว ก็ได้นำภรรยาเข้าห้อง และก็ทำการสอบสวน (แน่นอนว่า ไม่ไปถามเด็กอยู่แล้วว่า ทำไมเจ้าทำอย่างนี้

นี่เป็นจุดสำคัญ ทำไมเอามีดไปแทงถุงน้ำของเขา สำหรับคนที่รู้ศาสนาจะไม่ถามสิ่งเหล่านี้) ก็ถามภรรยาว่า “สำหรับเรื่องนี้ ฉันสำรวจตัวเองแล้วว่ามันไม่ได้มาจากฉัน มันมาจากเธอแน่นอน ไหนลองบอกมาสิว่า เธอไปทำอะไรมาตอนที่เธอตั้งท้อง ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ลูกของเราก็จะไม่ทำอะไรที่มันผิดปกติ” ภรรยาก็พยายามคิด จนนึกขึ้นมาได้ว่า “มีครั้งหนึ่งตอนตั้งท้อง ฉันอยากกินทับทิมเป็นอย่างมาก ซึ่งตอนนั้นครอบครัวมีฐานะยากจน และมีเงินจำนวนจำกัด และโดยที่ผลทับทิมมีทั้งลูกเปรี้ยวและลูกหวาน ตอนไปซื้อฉันจึงได้เอาเข็มไปจิ้ม เพื่อจะชิมน้ำทับทิมว่าผลไหนหวานหรือเปรี้ยว จะได้เลือกซื้อผลทับทิมที่หวาน”นี่คือตัวอย่างมรดก ‘ด้านลบ’ ทาง ‘จิตวิญญาณ’ !!

อีกหนึ่งตัวอย่าง ในยุคสมัยท่านอิมามอะลี (อ.) ท่านมุฮัมมัด ฮานาฟียะฮ์ ทำผิดบางอย่างที่ได้แสดงออกมาซึ่งความหวาดกลัวหนึ่ง อันแสดงถึงการไม่มีความกล้าหาญที่เพียงพอ ในสงครามซิฟฟิน ทำให้อิมามอาลี (อ.) โกรธอย่างมาก กระทั่งเอาดาบวางไปที่คอ และบอกว่า “ความกลัวอันนี้ไม่ได้มาจากฉัน ความกลัวอันนี้ถ่ายทอดมาจากแม่ของเจ้า”นี่จึงชี้ให้เห็นว่า แม้แต่เพียงนิดเดียว มันก็จะมีการถ่ายทอด !!

อีกหนึ่งตัวอย่าง เป็นตัวอย่างทางการเมือง‘บนีอับบาส’ ที่เป็นศัตรูกับอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) นั้น ทั้งที่จริงแล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะ ‘บนีอับบาส’ คือลูกหลานของ ‘อับดุลลอฮ อิบนิ อับบาส’ ซึ่งเป็นคนดี และเป็นคนหนึ่งที่ปกป้องอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) มาโดยตลอด เรื่องนี้ทั้งซุนนีและชีอะฮ์ ก็ให้การยอมรับเพราะความโด่งดังของ ‘อิบนิ อับบาส’ จึงสร้างความชอบธรรมอ้างสิทธิต่างๆ ให้สร้างราชวงศ์ ‘อับบาซีย์’ ที่ไม่ต่างจาก ‘บนีอุมัยยะฮ์’

เหตุผลอันหนึ่งที่ ‘บนีอับบาส’ เป็นได้ถึงขนาดนี้ จนได้มีการเข่นฆ่าตั้งแต่อิมามญะฟัร (อ.) จนถึงเวลาอิมามมะฮ์ดีย์ (อ.) ฆอยบัต (เร้นหายตัว) นั้น เหตุเพราะตอนที่อิมามอาลี (อ.) แต่งตั้งให้ ‘อิบนิ อับบาส’ ให้เป็นเจ้าเมือง ‘บัศเราะฮ์’ ปรากฏว่าในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนั้น ‘อิบนิ อับบาส’ เกิดความสุรุยสุร่าย และกินเงินจาก ‘บัยตุลมาล’ (กองคลังมวลมุสลิม) จนท่านอิมามอาลี (อ.) ต้องเรียกตัวกลับ เพราะความไม่ระมัดระวัง ของคนที่กินเงินบัยตุลมาล จึงทำให้ลูกหลานเป็นเช่นนี้ ทำให้เกิดราชวงศ์ ‘บนีอับบาส’ และเป็นราชวงค์ที่ชั่วช้า !! ส่วนราชวงค์ที่เลวที่สุด คือ ‘บนีอุมัยยะฮ์’ เพราะอะไรจึงเกิดบนีอุมัยยะฮ์? ถ้าเราดูในซียารัตอาชูรอ เมื่อเอ่ยว่า ‘บนีอุมมัยยะฮ์’ สิ่งแรกที่เอ่ยถึงคือ

بَنُو اُمَیَّةَ وَ ابْنُ آکِلَةِ الآکبادِ اللَّعینُ ابْنُ اللَّعینِ

“บนีที่เป็นลูกหลานของหญิงที่กินตับที่ถูกสาปแช่ง บุตรของผู้ที่ถูกสาปแช่ง”

นั่นเพราะ บนีอุมัยยะฮ์ คือ…ลูกหลานของ ‘นางฮินด์’ !!และนางฮินด์ผู้นี้ คือ…บุคคลที่เกลียดชังอิสลามมากเป็นที่สุด !!นางฮินด์ผู้นี้คือ…คนที่ ‘กินตับ’ ท่าน ‘ฮัมซะฮ์’ ผู้เป็น ‘ซัยยิดุชชุฮาดา’ แห่งยุคสมัยนั้น !!นางฮินด์ ได้กินตับสดๆ ของมนุษย์ที่ประเสริฐสุดคนหนึ่งในทัศนะของ อัลลอฮ์ (ซบ.) !!และจากเชื้ออันชั่วร้ายนี้ จึงเกิดราชวงค์อุมมัยยะฮ์ ที่ต่อมาได้ก่ออาชญากรรมอันป่าเถื่อน และโหดร้ายที่สุด จนก่อเกิดเป็นโศกนาฏกรรม ณ ท้องทุ่งกัรบาลา !!นี่คือ ความหมายของคำว่า ทายาท !!ดังนั้น ‘ดีเอ็นเอ’ ทางด้าน ‘ลบ’ ก็ขยายตัวของมันไป ขณะเดียวกัน ‘ดีเอ็นเอ’ ในทางด้านบวกก็เช่นกัน ผลความดีที่เขากระทำก็จะขยายวงกว้างไป

จากหนังสือ “ปรมัตถ์แห่งการพลี สดุดีอาชูรอ” โดยฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี