ถามว่า ทำไมศาสนานี้จึงสรุปในเรื่องของความรักที่มีต่ออะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ?
คำตอบนี้ พระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) เป็นผู้สรุปเองว่า ทำไมความรักที่ถูกขอนี้จึงมีความยิ่งใหญ่ มีความสำคัญ และขอจากประชาชาติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) โองการอยู่ใน ซูเราะฮ์ ยูซุฟโองการที่ 104 พระองค์ทรงตรัสว่า
وَمَا تَسْأَلُهُمْ عَلَيْهِ مِنْ أَجْرٍ إِنْ هُوَ إِلاَّ ذِكْرٌ لِّلْعَالَمِينَ
“และ (โอ้มุฮัมมัด) เจ้ามิได้ขอรางวัลใดๆ จากพวกเขาหรอก แท้จริงมันมิใช่สิ่งใดเลย นอกจากเป็นการตักเตือนแก่ปวงมนุษย์”
โองการนี้ คือ โองการที่มาอธิบายโองการมะวัดดะฮ์ ทั้งนี้การถูกประทานลงมาก่อนหรือหลัง ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะในอัลกุรอานบางครั้งเรื่อง ‘ท้าย’ ถูกประทานลงมาก่อน แล้วเรื่อง ‘ต้น’ จึงตามลงมา หมายความว่า บางครั้งกุรอานทำการอธิบายเรื่องท้ายที่ถูกประทานลงมาก่อน และไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ จนกว่าเรื่องต้นจะถูกประทานลงมา
คำว่า ‘ซิกร์’ ในที่นี้ หมายถึง การรำลึก การย้ำเตือน ส่วนคำว่า ‘อาละมีน’ บางคนแปลว่า ‘มนุษยชาติ’ แต่ความหมายที่สูงกว่านั้น ก็คือ ‘เป็นซิกรแห่งสากลจักรวาล’
โองการนี้ถูกประทานลงมาก่อนโองการมะวัดดะฮ์ ซึ่งได้บอกถึงสิ่งที่ศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ‘ขอ’ ไม่ใช่อะไรหรอก!! แต่เป็นการขอเพื่อเป็นการรำลึกถึงสำหรับสากลจักรวาล ดังนั้น ก่อนหน้านี้ ยังไม่มีใครเข้าใจ ว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ขอแล้วจะเป็นอะไร ? แต่อัลลอฮ์ (ซบ.) ได้ทรงอธิบายว่า สิ่งที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ขอนั้น จะเป็นเรื่องที่ ‘ถูกรำลึกทั่วทั้งจักรวาล’ จะเป็น ‘ซิกรุลลิลอาละมีน’
และเรื่องดังกล่าวไม่มีใครเข้าใจได้ กระทั่งท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล.) มาเปิดเผยในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านว่า ‘ซิกรุลลิลอาละมีน’ นั้น คือ ‘ขอให้รักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)’ ดังนั้น จึงรู้ว่า ‘ซิกรุลลิลอาลลามีน’ ถูกถือให้เป็นการให้ความรักต่อ “อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)” ทำไมจึงถือว่า การรักใน ‘กุรบา’ (สายเลือดศาสดา) เป็นการรำลึกแห่งสากลจักรวาล? บางอุละมาอ์ (นักการศาสนา) ให้คำตอบว่า เป็นการรำลึกของมนุษยชาติทั้งหมด
แน่นอน เหตุการณ์จริงที่อธิบาย ‘ซิกรุลลิลอาลามีน’ มีหลายกรณี กรณีของอะฮลุลบัยต์ (อ.) ซิกร์อะฮ์ลุลบัยต์ คือ ซิกร์ลิลอาละมีน คือสิ่งที่ถูกรำลึกมาแต่เก่าก่อน คือสิ่งที่ถูกรำลึกในอดีต ปัจจุบัน อนาคต นี่คือความหมายว่า ‘ซิกรุลลิลอาลามีน’ ในศัพท์วิชาการ มีความหมายหลายกรณี การไม่จำกัด ‘อะลัม’ (ภพ) ใดๆ และอีกหลายๆ มิติที่มีอยู่ จะทำให้รู้ว่า อะฮ์ลุลบัยต์(อ) คือ ‘ซิกร์’ แห่งสากลโลก
ก่อนที่สรรพสิ่งทั้งหมดจะถูกสร้าง ก่อนที่ศาสดาอาดัม (อ.) จะถูกส่งมายังโลกนี้ ‘นูร’ (รัศมี) แห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ได้ถูกรำลึก มีฮะดีษมากมาย ว่า ศาสดาอาดัม ได้ ‘ซิกร์’ ได้เข้าใจ ได้รับรู้ เรื่องราวของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)ศาสดาอาดัม (อ.) ลงมาโลกนี้ ตามหาท่านหญิงฮาวา (อ) ท่านจึงขอ ‘ตะวัซซุล’ (ขอความช่วยเหลือ) และอัลลอฮ์ (ซบ.) จึงได้สอนวิธีการให้ศาสดาอาดัม (อ.) และไม่ใช่ ศาสดาอาดัม (อ.) ท่านเดียวเท่านั้น บรรดาศาสดาต่างๆ ก็ได้ซิกร์ บางริวายะฮ์ (รายงาน) อาจจะบอกเพียง หนึ่ง หรือสอง สามเหตุการณ์
เรืองของศาสดานุฮ์ (อ.) รอดพ้นจากการจม ก็เพราะเขียน พระนาม ‘ปัญจตัน’ (4) แน่นอนว่า ศาสดานุฮ (อ.) ก็ได้เรียนรู้ ได้สัมผัส ไม่ใช่เขียนๆ แล้วก็จบ จึงได้เรียกว่า นั่นคือ ‘ซิกร์’ ท่านศาสดามูซา (อ.) ก็เช่นนี้
ดังนั้น นี่คืออีกหนึ่งของความหมาย ว่า ‘ซิกรุลลิลอาลามีน’ ซิกร์อันนี้ เกิดขึ้นกับทุกศาสดา ไม่มีคนหนึ่งคนใดเป็นศาสดาได้ หรือเป็นวะศีย์ได้ ถ้าไม่ผ่านซิกร์ อันนี้ ทุกๆ ศาสดา และมะลัก (ทูตสวรรค์) ทั้งหมด แม้กระทั่ง ‘มะลาอิกะฮ์มุกัรรอบูน’ (ทูตสวรรค์ผู้ใกล้ชิดยิ่ง) ต่างก็ต้อง ‘ซิกร์’ การที่มะลาอิกะห์ มีฐานะภาพด้อยกว่าอาดัม (อ.) นั้น ก็เพราะได้เรียนรู้เรื่องนี้ช้ากว่าอาดัม (อ) คือเรียนรู้หลังอาดัม และนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่มวลมะลัก ต้อง ‘ซุญูด’ (กราบ) ให้กับท่านศาสดาอาดัม (อ)
ดังนั้น อัลลอฮ์ (ซบ.) จึงให้ศาสดามุฮัมมัด (ซล.) ขอว่า “จงกล่าวเถิด มุฮัมมัด (ซล.) ฉันมิได้ขอรางวัลและค่าตอบแทนใด ๆ เพื่อการนี้ เว้นแต่เพื่อความรักใคร่ในเครือญาติของฉัน” ศาสนานี้ขอสิ่งเดียวเท่านั้น คือความรักต่อ ‘กุรบา’ (สายเลือดศาสดา) ของศาสดามุฮัมมัด (ซล.) และความรักแบบ ‘มะวัดดะฮ์’ นั้น จะต้องเป็นความรักที่พร้อมเสียสละ พร้อมที่จะพลี จึงจะเรียกว่า ‘มะวัดดะฮ์’และการอธิบายว่า การขอความรักอันนี้ เหตุผลก็ เพื่อนำมนุษย์ เข้าสู่ การ ‘ซิกรุลลิลอาลามีน’
จากหนังสือ ปรมัตถ์แห่งการพลี สดุดีอาชูรอ โดยฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี