ทำไมเด็กหญิงสาวไม่ควรแต่งงานกับผู้ชายโดยปราศจากการยินยอมของผู้เป็นบิดา

153

ไม่ใช่เพราะว่าเด็กหญิงสาวนั้นจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้บกพร่องในบางเรื่องหรือถูกถือว่าด้อยกว่าผู้ชายในด้านความเจริญเติบโตทางสังคม หลายคนอาจจะมีคำถามว่าแล้วทำไมอิสลามจึงยอมรับเรื่องเสรีภาพของผู้หญิงที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เลยวัยกำดัดไปแล้วให้จัดการด้านเศรษฐกิจของนางเองได้ ซึ่งจะเห็นว่าหลายร้อยคนในจำนวนหลายล้านคนก็ได้ดำเนินการอย่างเป็นอิสระโดยปราศจากการยินยอมของผู้เป็นบิดา พี่ชายหรือสามีของนาง แล้วเหตุไฉนในด้านการแต่งงานพวกเธอจึงต้องรอรับการยินยอมจากบุคคลดังกล่าวเล่า

ด้วยเหตุนี้ จึงมีปรัชญาบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้นอกเหนือจากเหตุผลในหลักกฏหมายอิสลาม ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามปรัชญานี้ไป เพราะเรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับความบกพร่องใดๆ หรือขาดสติปัญญาหรือความเจริญเติบโตทางด้านจิตใจแต่ประการใด แต่มันเกี่ยวข้องกับหลักจิตวิทยาของเพศหญิงและเพศชายมากกว่า ที่สัมพันธ์กันเป็นพิเศษกับด้านแห่งความพึงพอใจของลักษณะของเพศชาย ในอีกด้านหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับความไว้วางใจของฝ่ายหญิงในความซื่อสัตย์สุจริตของผู้ชาย ผู้ชายตกเป็นทาสของแรงกระตุ้นขั้นพื้นฐานของเขาและผู้หญิงตกเป็นจำเลยในความรักของนาง เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชายต้องถลำตัวและเสียหลักลงไปในแรงกระตุ้นซึ่งเป็นเหตุจูงใจขั้นพื้นฐานในชีวิตของเขา

ตามนักจิตวิทยาทั้งหลายแล้วนั้น ผู้หญิงมีความอดทนและอดกลั้นในการควบคุมอารมณ์ใคร่ของนางได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งนั้นก็ทำให้ผู้หญิงเสียดุลยภาพและทำให้ตัวเธอต้องตกเป็นทาสของคำหวานๆ แห่งความรัก ความสุจริตใจ ความนอกคอกของผู้ชายได้ ตรงนี้เอง ที่ถือว่าสตรีเพศต้องได้รับการดูแล ผู้หญิง ตราบเท่าที่เธอยังเป็นหญิงบริสุทธิ์อยู่และไม่เคยเข้าไปเกาะเกี่ยวโดยตรงกับผู้ชายแล้ว ก็จะพร้อมอยู่เสมอที่จะหลงเชื่อในถ้อยคำกระซิบที่อ่อนหวานแห่งความรักใคร่ของผู้ชาย

ศาสตราจารย์ รีค นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้กล่าวไว้ในวารสาร ซัน-นิรุซ บทความที่ 90 ภายใต้หัวข้อเรื่องว่า “โลกที่ไม่เหมือนกันของผู้ชายและผู้หญิง” ศาสตราจารย์ผู้นั้นกล่าวว่า ประโยคที่ดีที่สุดที่ผู้ชายกล่าวกับหญิงก็คือประโยคที่ว่า “ที่รัก ฉันรักเธอ” และคำๆนี้ก็ “เป็นความสุขสำหรับผู้หญิง” นั่นก็หมายถึงว่าเธอจะมีชัยชนะเหนือใจชายและครอบครองมันไว้ตลอดชีวิตของเธอ”

ท่านศาสดาแห่งอิสลาม ได้กล่าวความจริงในเรื่องนี้ไว้อย่างชัดแจ้งว่า “ผู้หญิงจะไม่ยอมปล่อยให้ถ้อยคำของผู้ชายที่ให้ไว้แก่นางว่า “ฉันรักเธอ” หลุดออกไปจากหัวใจของนาง” ด้วยเหตุนี้ผู้ชายในสมัยนี้ที่มีนิสัยชอบหลอกผู้หญิงจึงมักจะใช้ความรู้สึกเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในผู้หญิงให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน และกับดักที่ดีและใช้ได้ผลมากที่สุดในการล่าเด็กผู้หญิงผู้ซึ่งไม่มีประสบการณ์ในผู้ชายมาก่อน ก็คือ “ที่รัก ฉันกำลังจะตายเพราะรักเธอ”

นานมาแล้ว มีเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นแม่หม้าย เธอชื่อว่า อัฟซาร์ ได้พยายามฆ่าตัวตาย และผู้ชายคนนั้นชื่อว่า ญะวาด ซึ่งหลอกลวงเธอ เรื่องนี้ได้รับความสนใจจากมหาชนมาก จนกระทั่งคดีนี้ได้ไปถึงศาล ผู้ชายคนนี้ใช้สูตรดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้นในการหลอกลวง อัฟซาร์ และ เธอได้พูดไว้ดังปรากฏในวารสาร ซันนิรุซ ว่า “แม้ว่าดิฉันจะไม่ได้พูดกับเขา แต่หัวใจของดิฉันก็ต้องการที่จะเห็นเขาทุกวันและทุกชั่วโมง” เธอกล่าวว่า เธอมิได้หลงรักเขา แต่ด้วยความรู้สึกหลงใหลในสิ่งที่เขาบอกมา เธอจึงมีความต้องการทางด้านจิตใจในตัวเขา

ผู้หญิงทั้งหมดก็เหมือนก่อนที่พวกเขาจะตกไปอยู่ในห้วงรัก พวกเขามีความหลงใหลในตัวคนรัก เพราะสำหรับผู้หญิงทุกคนหลังจากที่เธอได้พบรักแล้ว ความรักก็เกิดขึ้น ผู้หญิงคนนี้ซึ่งเป็นแม่หม้ายและได้เคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้วยังเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ แล้วเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจะตกหลุมรักใคร่ซักเพียงไหน และนั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมจึงจำเป็นสำหรับเด็กหญิงสาวผู้ซึ่ง “ไม่เคยมีประสบการณ์” กับผู้ชายมาก่อนจึงต้องมีคำยินยอมจากบิดาของเธอเสียก่อน บิดาผู้ซึ่งรู้อารมณ์อุปนิสัยของผู้ชายได้ดีกว่า และเป็นผู้ซึ่งปรารถนาดีที่จะเห็นบุตรสาวของตนมีความสุข ฉะนั้น กฎหมายก็มิได้เหยียบย่ำให้ผู้หญิงต่ำลงในวิถีทางใดๆเลยในเรื่องนี้ยิ่งกว่านั้น กฏหมายยังได้ยื่นมือออกไปปกปักรักษาสิทธิสตรีไว้อีกด้วย ความจริงที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เราก็ได้เห็นกันอยู่เกลื่อนกลาดในยุคปัจจุบัน เพราะฉนั้นมุสลิมะฮ์ทุกคนจึงควรระมัดระวังและคิดใตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงานกับใคร อย่าหลงเชื่อคำพูดหวานๆของใครง่ายๆโดยที่ไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน

Source : muslimahthai.com