วันกิยามัต

169

ครั้งหนึ่ง มีชายผู้อยากรู้อยากเห็นคนหนึ่งจากเยเมนเข้ามาหาอิมามอะลี(อ.) เขาถามอิมามอะลี(อ.) ว่า ท่านเคยเห็นอัลลอฮ์หรือไม่ อิมามอะลี(อ.) ตอบชายผู้นี้ว่า ท่านจะไม่เคารพภักดีต่อสิ่งใดที่ท่านมองไม่เห็น ผู้ถามที่งุนงงจึงถามต่อไปว่า อิมามอะลี(อ.) สามารถมองเห็นอัลลอฮ์ที่ไม่มีใครมองเห็นได้อย่างไร ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์กล่าวว่า “ไม่ใช่ดวงตาหรอกที่มองเห็นอัลลอฮ์ แต่หัวใจต่างหากที่มองเห็นพระองค์ และหัวใจจะอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์หากทำให้พระองค์พึงพอพระทัย”

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า การที่มุสลิมจะได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮ์และรู้สึกถึงการมีอยู่ของพระองค์นั้น เราต้องปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะเราจะต้องถูกสอบสวนในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ มีเพียงผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางที่เที่ยงตรงและงดเว้นจากความชั่วเท่านั้นที่จะไม่พบกับความเศร้าโศกเสียใจอีก คัมภีร์อัล-กุรอานได้กล่าวถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพไว้ในซูเราะฮ์อัล-กิยามะฮ์ ซึ่งบอกเราเกี่ยวกับการพังพินาศของโลก และวาระสิ้นสุดของชีวิตบนโลกนี้ และการพิจารณาคดีครั้งใหญ่ที่จะตามมา วันนั้นจะถูกแสดงเครื่องหมายด้วยการเดือดพล่านของทะเล ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดมน และภูเขาสั่นสะเทือน

ถึงแม้อัล-กุรอานจะไม่ได้ระบุไว้โดยตรงว่าการพังพินาศจะเกิดขึ้นอย่างไร แต่ได้เน้นย้ำอย่างต่อเนื่องว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทะเลแห่งการทำลายล้างกำลังไหลอยู่แล้วในกระแสน้ำไหลเชี่ยวอย่างไม่ขาดสาย เฉพาะในศตวรรษนี้มนุษย์ได้ค้นพบการใช้อาวุธเคมีและอาวุธนิวเคลียร์ เราได้เห็นผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัวของระเบิดที่ฮิโรชิม่าและความยิ่งยะโสของชาติต่างๆ ที่ภาคภูมิใจในการครอบครองอาวุธเช่นนั้น และภาคภูมิใจที่ได้ข่มขู่คุกคามประเทศเพื่อนบ้านด้วยการใช้อาวุธเช่นนั้น

อัล-กุรอานได้สอนเราว่า ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ หลังจากที่ร่างกายของเราได้เน่าเปื่อยผุพังไปแล้วนั้น อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรไม่เพียงแต่จะรวบรวมกระดูกของเราขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่จะทำให้ปลายนิ้วทั้งหมดของเราถูกสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยลายนิ้วมือที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับอัลลอฮ์ ในซูเราะฮ์อัล-อินชิกอก กล่าวถึงการกลับมามีชีวิตใหม่ของมนุษย์ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ในเวลานี้เองที่เราจะถูกนำเสนอด้วยบันทึกการกระทำของเรา ตามที่เทวทูตของอัลลอฮ์ได้บันทึกเอาไว้ ผู้ที่ได้รับบันทึกนี้ด้วยมือขวาจะเป็นผู้ดีเลิศ ในขณะที่ผู้ได้รับบันทึกของพวกเขาจากด้านหลังจะเป็นผู้ต่อต้อย เราได้รู้จักรายงานฮะดีษว่าทุกคนมีเทวทูตสององค์ที่ได้รับแต่งตั้งจากอัลลอฮ์ให้ทำการบันทึกทุกการกระทำ ในวันแห่งการพิพากษานั้น แม้แต่ร่างกายของเราก็จะเป็นสักขีพยานในการกระทำของเรา

“เมื่อชั้นฟ้าได้แตกแยกออก

และมันได้เชื่อฟังพระเจ้าของมันและมันจำต้องกระทำเช่นนั้น

และเมื่อแผ่นดินถูกให้แผ่กว้าง
และมันได้ปลดเปลื้องสิ่งที่อยู่ในมันออกมา และมันก็ว่างเปล่า
และมันได้เชื่อฟังพระเจ้าของมัน และมันจำต้องกระทำเช่นนั้น

โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงเจ้าต้องพากเพียรไปสู่พระเจ้าของเจ้าอย่างทรหดอดทนแล้วเจ้าจึงจะพบพระองค์
ส่วนผู้ที่ถูกยื่นบันทึกของเขาให้ทางเบื้องขวาของเขา
เขาก็จะถูกชำระสอบสวนอย่างง่ายดาย
และเขาจะกลับไปยังครอบครัวของเขาด้วยความดีใจ

และส่วนผู้ที่ถูกยื่นบันทึกของเขาให้ทางเบื้องหลังของเขา
แล้วเขาก็จะร้องเรียกหาความหายนะ
และเขาจะเข้าไปในเปลวเพลิง”

(อัล-กุรอาน 84 : 1-12)

ในซูเราะฮ์อัล-กิยาะฮ์ กล่าวไว้ว่า ในวันแห่งการพิพากษา บางใบหน้าจะถูกทำให้กระจ่างสดใสและได้อยู่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่คนอื่นๆ จะมีใบหน้าหม่นหมองและถูกบังคับให้เข้าสู่ความหายนะชั่วนิรันดร์ ก่อนที่จะถึงวันนั้น เรามีเสรีภาพในการที่จะเลือก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเราเองทุกอย่าง
ในอิสลาม การลงโทษต่อการกระทำที่ชั่วร้ายไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในวันปรโลกเท่านั้น แต่ในชีวิตนี้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น อาชญากรรมต่างๆ เช่นการฆาตกรรม หากถูกปล่อยไว้โดยที่ผู้มีอำนาจมุสลิมไม่ได้ตรวจสอบ จะทำให้เกิดสังคมที่เสียหายเพราะถูกขับเคลื่อนด้วยอาชญากรรม ดังนั้น เพื่อที่จะรักษาหลักธรรมคำสอนของอิสลามเอาไว้ เราต้องนำกฎเกณฑ์ในคัมภีร์อัล-กุรอานมาให้ ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ไม่ศรัทธา เราจะได้รับผลตอบแทนจากสิ่งที่เราเคยทำเท่านั้น ในวันแห่งการพิพากษาทุกวิญญาณจะได้พบกับสิ่งที่ตัวเองได้เคยทำความดีและสิ่งที่ตัวเองได้เคยทำความชั่วเอาไว้ เหตุการณ์นี้เองที่เราทุกคนจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม

อิมามอะลี(อ.) กล่าวว่า “ท่านถูกทดสอบในชีวิตแห่งโลกนี้ แต่ถูกสร้างมาเพื่อชีวิตในอีกโลกหนึ่ง”

โดย ซัยยิด ฟาซิล มิลานี

Source : rafed.net