จากกฎของเหตุและผล ทุกคนเคยสังเกตธรรมชาติและจักรวาลรอบตัวเราไหม นับตั้งแต่พืช สัตว์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ท้องทะเล ตลอดจนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งเกินความสามารถที่เราจะใช้สายตาเปล่า ๆ ของมนุษย์มองไปถึงได้ หลายคนจึงอดถามตัวเองไม่ได้ว่า “สิ่งเหล่านี้มาจากไหน ?” และคำตอบที่คนทั่วไปมักพูดกันติดปาก คือ “ธรรมชาติสร้าง” หรือ “เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ” ซึ่งถ้าจะพูดให้เข้าหลักการมากขึ้น หลายคนเชื่อว่า จักรวาล และสรรพสิ่งเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า คือ จากความไม่มีอะไรเลย หรือจะบอกว่ามันเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ หรือความบังเอิญบวกกับเวลา มันจึงพัฒนาต่อ ๆ กันมาเรื่อยๆจนกระทั่งทำให้เกิดสิ่งมีชีวิต และทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ดังที่เราได้เห็นอยู่ในทุกวันนี้
แต่ถ้าคิดสักนิดว่า คำตอบที่กล่าวมานี้สมเหตุผลหรือไม่ อย่างไร ? และถ้าคำตอบไม่ใช่อย่างนี้ เราจะมีคำตอบที่ดีกว่านี้ไหม ? หากโลกและจักรวาลเกิดมาโดยความบังเอิญ ไม่มีผู้สร้างหรือผู้ควบคุมให้มันหมุนอย่างเป็นระบบ ดวงดาว ดวงจันทร์ ก็คงจะชนกันมั่วหมด เหมือนรถบนถนน ขนาดมีคนขับมันยังชนกันได้ อีกอย่างดวงดาวเหล่านั้นมันไม่มีเชือกห้อยแขวนไว้ แต่มันก็สามารถอยู่บนท้องฟ้าโดยที่ไม่ตกได้
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า นิวตันเป็นนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ศรัทธาในพระเจ้าอย่างจับจิตจับใจ แต่เพื่อนของเขาบางคนไม่เชื่อในพระเจ้า จึงได้หาทางเยาะเย้ยเขาต่าง ๆ นานา วันหนึ่ง นิวตันตั้งใจจะสอนบทเรียนเพื่อนคนนั้น โดยการสร้างหุ่นจำลองของระบบสุริยจักรวาลขึ้นมา
หลังจากสร้างเสร็จแล้วเพื่อนของเขาบังเอิญมาพบเข้า จึงเอ่ยปากชมว่า “แหม ใครนะสร้างได้ยอดเยี่ยมเหมือนของจริงอย่างไม่น่าเชื่อ”
นิวตันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พลางตอบไปอย่างหน้าตาเฉยว่า “ไม่มีใครสร้างหรอก มันเกิดขึ้นเอง”
เพื่อนคนนั้นฟังแล้วรู้สึกไม่พอใจนิด ๆ กล่าวว่า “ฉันคงไม่โง่พอที่จะเชื่อตามที่คุยบอกหรอก”
นิวตัน จึงตอบว่า “ถ้าเพียงหุ่นจำลองของระบบสุริยจักรวาลขนาดนี้ คุณยังเชื่อว่ามีคนสร้างขึ้นมา แล้วทำไมเมื่อพูดถึงระบบสุริยจักรวาลจริง ๆ ว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง กลับไม่ยอมเชื่อเล่า”
ธรรมชาติและจักรวาลที่เราสังเกตเห็นได้ บอกเราอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดตามกฎแห่งเหตุและผล คือ ผลทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุปัจจัยมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้ แม้นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาทางด้านดาราศาสตร์ในสมัยปัจจุบันหลายท่าน ก็กล่าวยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า สากลโลก และจักรวาล จะต้องมีจุดเริ่มต้นอย่างแน่นอน
ดังจะขออ้างข้อเขียนของ ดร.มิทเชล ผู้ซึ่งเคยคลุกคลีกับโครงการด้านอวกาศอย่างกว้างขวางท่านหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้ว่า “ในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับด้านอวกาศ มีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องราวสุริยจักรวาลแตกต่างไปจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนอย่างมาก จากการใช้ยานอวกาศสำรวจระบบสุริยจักรวาล ได้เปิดเผยให้มนุษย์รู้ถึงความซับซ้อนที่จัดอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยของกลุ่มดาวกาแล็กซี อีกทั้งกลุ่มก๊าซที่ห่อหุ้มโลกของเรานี้ ด้วยเหตุผลนี้ นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับด้านอวกาศ จึงไม่สามารถยอมรับทฤษฎีก่อน ๆ ที่ว่า สุริยจักรวาลเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และไม่ยอมรับว่าความลี้ลับซับซ้อนนี้เกิดขึ้นมาเอง” (จากบทความของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอฟ มิทเชล อดีตผู้อำนวยกาลศูนย์คำนวณยานโคจรอวกาศกอดดาด ศูนย์การบินอวกาศของนาซา )
เมื่อสุริยจักรวาลไม่ได้เกิดขึ้นเอง ก็ย่อมหมายความว่ามีผู้สร้าง และเมื่อมีผู้สร้างก็ย่อมมีพระเจ้า พระคัมภีร์ไบเบิ้ลของชาวคริสต์บันทึกถึงเรื่องนี้ว่า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐมกาล 1:1) “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์” (สดุดี 19:1) ซึ่งตรงกับหลักคำสอนของอิสลามที่ว่า มีพระผู้สร้างเพราะ อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า “อัลลอฮฺคือผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และอัลลอฮฺ (ซบ.) ยังตรัสอีกว่า “พระองค์คือผู้ประทานความงดงามแก่ทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา”