ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงเวลานี้ มนุษยชาติได้ผ่านช่วงเวลาหลายยุคหลายสมัย มีการพัฒนามุ่งสู่การมีอารยธรรมที่ดีตลอดมา ทว่ามีปัญหาหนึ่งที่อยู่คู่กับมนุษยชาติมาตลอดทุกยุคทุกสมัยเช่นเดียวกัน ปัญหานั้นก็คือ “สงคราม” นับแต่วันแรกที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ สงครามก็ได้อยู่คู่กับมนุษยชาติตั้งแต่วันนั้นและจะยังคงอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน ตราบใดที่มนุษยชาติยังไม่รู้จักเพียงพอต่อความต้องการของตนเอง หรือ เรียกอีกอย่างว่า เห็นแก่ตัว และไม่เข้าใจคำว่า “สันติ” อย่างแท้จริง
สงครามต่างๆ ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติมีมากมาย อาทิเช่น สงครามครูเสดในยุคกลางซึ่งเป็นสงครามที่ยาวนานกว่าสองศตวรรษ สงครามนิกายของชาวคริสเตียนที่ยาวนานถึงสามสิบปีระหว่างคาทอลิก และโปรแตสแตนท์ สงครามจักรวรรดิอุษมานีย์ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง สงครามเวียดนาม สงครามเกาหลี สงครามอาหรับและอิสราเอล สงครามอินเดียและปากีสถาน สงครามอิรักและอิหร่าน สงครามอิรักและคูเวต สงครามสหรัฐและอัฟกานิสถาน สงครามสหรัฐและอิรัก และอีกหลายๆ สงครามทั้งเล็กและใหญ่ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ ยังไม่พูดถึงสงครามไทยกับพม่าอีกนะครับ
สงครามต่างๆ เหล่านั้นชี้ให้เราเห็นว่ามนุษยชาติไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงสงครามได้ สงครามจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนไม่โดยทางตรง ก็ทางอ้อม เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่เห็นอย่างชัดเจนว่าสงครามอยู่คู่กับมนุษย์ ก็คือการตระเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ ในปัจเจกบุคคล จนกระทั่งรัฐบาลของแต่ละประเทศ การตระเตรียมอาวุธไว้อย่างมากมายของแต่ละประเทศ เพื่อสิ่งใดหรือ หากไม่ใช่เพื่อการเข้าร่วมสงคราม ดังนั้นสงครามจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่ในวีถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่มีมนุษย์คนใดปฏิเสธได้
ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในซอยสุขุมวิท 71 เมื่อวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เป็นระฆังลูกใหญ่ที่ส่งเสียงให้ประชาชนชาวไทยผู้รักสันติได้รู้ว่า “สงคราม” มีอยู่จริงไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทว่าปัญหามันอยู่ที่ว่าผู้ที่กำลังเผชิญหน้ากันขณะนี้ คือมุสลิมและยิวไซออนิสต์ จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายในหมู่พี่น้องชาวไทยว่า แล้วสองฝ่ายนี้มาทำสงครามกันในประเทศไทยทำไม? คำตอบตรงนั้นผมไม่ขอพูดถึง ไว้เป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์จะเหมาะสมกว่า
ทว่ามีอีกคำถามหนึ่งตอนนี้ซึ่งพี่น้องชาวไทยได้ตั้งคำถามขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะในโลกออนไลน์เฟสบุ๊ค หรือตามเว็บไซต์ต่างๆ กรณีที่ชาวอิหร่านเป็นคนก่อเหตุ การประกาศที่จะตอบโต้ทำสงครามกับยิวของผู้นำอิหร่าน ผู้นำฮิซบุลลอฮ์ ฯลฯ เหล่านี้กำลังชี้ให้เห็นว่าคนมุสลิมกำลังจุดไฟสงครามให้เกิดขึ้น จึงเกิดคำถามในหมู่พี่น้องชาวไทยว่า “ตกลงไหนบอกว่าอิสลามคือศาสนาแห่งสันติ?” “อิสลามแปลว่าสันติไม่ใช่หรือ?”
และอีกหลายๆ คำถาม ซึ่งผู้เขียนใคร่จะนำคำถามต่างๆ เหล่านั้นมาตอบแก่พี่น้องชาวไทยทุกคนในบทความนี้ ดังต่อไปนี้
คำถาม : “อิสลาม” ศาสนาแห่งสันติ หรือสงคราม?
ตอบ : อิสลามคือศาสนาแห่งสันติ มีพระดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่พระองค์ทรงตรัสว่า “บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงเข้าไปอยู่ในความสันติเถิด (อัลบะกอเราะฮ์โอการที่ 208)”
และในอีกโองการหนึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า “และหากพวกเขาโอนอ่อนมาเพื่อการประนีประนอมแล้ว เจ้าก็จงโอนอ่อนตาม (อัลอัมฟาลโองการที่ 61)”
สองโองการข้างต้นที่เป็นพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าแก่มวลมุสลิมทั้งผองพอที่จะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า อิสลามคือศาสนาแห่งสันติ ไม่ใช่ศาสนาที่กระหายสงคราม
เมื่อผมตอบแล้วผมอยากจะถามท่านกลับว่า ท่านซึ่งไม่ได้เป็นมุสลิม แต่ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่รักในความสันติไม่แตกต่างอะไรกับพี่น้องมุสลิม ในกรณีที่ท่านต้องใช้ชีวิตเผชิญอยู่ภายใต้การปกครองของผู้ปกครองที่กดขี่ ผู้ปกครองที่เป็นเผด็จการ หรือในกรณีที่ญาติพี่น้องของท่านกำลังถูกผู้อื่นกดขี่รีดนาทาเร้น ฯลฯ ถามว่าท่านจะวางตัวเช่นไร ถามว่าท่านจะนิ่งดูดายไม่สนใจใดๆ ต่อสถานการณ์เช่นนั้น เพราะท่านคือผู้รักสันติอย่างนั้นหรือ?
แต่ในอิสลาม เมื่อมุสลิมต้องเผชิญหน้ากับบรรดาผู้กดขี่ ผู้ลิดรอนสิทธิ มุสลิมจะไม่มีวันโอนอ่อนตาม และไม่มีวันทำเป็นทองไม่รู้ร้อน หรือยอมให้เขากดขี่ และลิดรอนสิทธิ แม้กระทั่งพี่น้องมุสลิมด้วยกันเมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังถูกรุกราน ถูกรังแก ถูกดกขี่ เป็นภารกิจทางศาสนาที่มวลมุสลิมจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า “ดังนั้นผู้ใดละเมิดต่อพวกเจ้าก็จงละเมิดต่อเขาเยี่ยงที่เขาละเมิดต่อพวกเจ้า (อัลบะกอเราะฮ์โองการที่ 194)”
และในอีกโองการหนึ่งพระองค์ทรงมีพระดำรัสว่า “สำหรับบรรดาผู้ที่ถูกโจมตีนั้น ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้ เพราะพวกเขากำลังถูกกดขี่ข่มเหงและแท้จริงอัลลอฮ์ทรงสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน (อัลฮัจญ์โองการที่ 39)”
และอีกโองการหนึ่งพระองค์ทรงมีพระดำรัสว่า “และหากพวกเจ้าจะลงโทษ (ฝ่ายปรปักษ์) ก็จงลงโทษเยี่ยงที่พวกเจ้าได้รับโทษเท่านั้น (อัลนะฮ์ลฺโอการที่ 126)”
สรุปแล้ว ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติ ไม่ใช่ศาสนาแห่งสงคราม แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมุสลิมคนใดก็ตามถูกกดขี่ ถูกลิดรอนสิทธิ ถูกรุกราน ถูกรังแก มุสลิมจะต้องลุกขึ้นต่อสู้กับผู้กดขี่ ผู้รุกรานเหล่านั้น รวมถึงช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมที่กำลังถูกกดขี่ ถูกรุกรานอีกด้วย อิสลามไม่อนุญาตให้กดขี่ผู้ใด ในขณะเดียวกันก็ไม่อนุญาตให้นิ่งเฉยต่อการถูกกดขี่
ท่านอาจจะถามต่อไปอีกว่า ในประวัติศาสตร์อิสลามท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ทำสงครามอย่างมากมายกับผู้ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า การทำสงครามเหล่านั้นมุสลิมจะอธิบายว่าอยางไร?
ผมขอตอบว่า การทำสงครามของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ในประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ ล้วนเป็นการปกป้อง พิทักษ์ ศาสนา ต่อต้านการรุกราน การกดขี่ และขจัดความชั่วร้ายบนหน้าแผ่นดินเท่านั้น ไม่มีสงครามใดของศาสดามุฮัมมัด (ศ) และสงครามของมุสลิมกลุ่มใด ที่จะเป็นการก่อสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจ แย่งชิงผืนแผ่นดินของผู้ใด สงครามของมวลมุสลิมจึงเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ต่อต้านการรุกราน การกดขี่ การลิดรอนสิทธิ และการขจัดความชั่วร้ายเท่านั้น ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งของศาสนาอิสลามเหนือมวลมุสลิมทั้งปวง
และคอยติดตามเรื่อง “สงครามในทัศนะของอิสลาม” “สันติในทัศนะของอิสลาม” และ “สันติคือจิตใต้สำนึกของมนุษย์” ซึ่งผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปในโอกาสหน้า…. ด้วยพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
โดย เชคมาลีกี ภักดี