1-ได้พิสูจน์ว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) เป็นศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าจริง เพราะทั้งฝ่ายมุสลิม และไม่ใช่มุสลิมต่างรายงานว่าชาวคริสต์แห่งนัจญ์รอนไม่ยอมทำมุบาฮะละฮ์ด้วย แต่ขอจ่ายญิซยะฮ์แทน
2-ท่านฮาซันและฮูเซนเป็นบุตรชายของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ในทางเชื้อสาย ( نَسَبٌ ) แม้ว่าตามจริงบุคคลทั้งสองจะเป็นบุตรของท่านหญิงฟาติมะฮ์ก็ตาม เหตุผลพราะมีรายงานบันทึกมาสนับสนุนดังนี้
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ได้กล่าวว่า “ลูกชายของฉันสองคนนี้คืออัลฮาซันและอัลฮูเซนคือหัวหน้าบรรดาชายหนุ่มแห่งชาวสวรรค์ และบิดาของเขาทั้งสองนั้นประเสริฐกว่าเขาทั้งสอง” (สถานะหะดีษ : ซอฮี๊ฮฺ ดูหนังสือซอฮีฮุลญามิอิซ-ซอฆีร วะซิยาดะฮ์ หะดีษที่ 47 โดยเชคมุฮัมมัด นาศิรุดดีน อัลบานี)
3-โองการมุบาฮะละฮ์นับเป็นสิ่งยืนยันถึงความประเสริฐอีกประการหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์ (วงศ์วาน) พิเศษ ที่มุสลิมมิอาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้เลย เพราะท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ได้พาบุคคลทั้งสี่นี้เท่านั้นออกไปมุบาฮะละฮ์กับชาวคริสต์ การเจาะจงอะฮ์ลุลบัยต์ (วงศ์วาน) พิเศษที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) พาออกไปมุบาฮะละฮ์ในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) จะพาใครไปก็ได้ แต่เป็นการคัดเลือกของพระองค์อย่างมีพระประสงค์และมีเหตุผลอันลึกซึ้ง
4- ทำให้มุสลิมได้พึงทราบว่าหลังจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) สิ้นชีพ ท่านอะลีคือบุคคลประเสริญที่สุดในบรรดาประชาชาติมุสลิม
5- เหตุการณ์นี้ได้ชี้ให้มวลมุสลิมได้รู้ว่า การเผยแผ่ศาสนา การดูแลเรื่องการเมืองและการปกครอง ยังตกเป็นภารกิจของอะฮ์ลุลบัยต์ (วงศ์วาน) พิเศษ ที่ทำหน้าที่สืบต่อจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) มิใช่สืบทอดในฐานะญาติสนิท แต่สืบทอดตำแหน่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ในฐานะผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงเลือกสรรพวกเขาให้มาทำหน้าที่สำคัญอันนี้ ดังที่มีรายงานอันเลื่องลือบทหนึ่งจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ว่า “โอ้อะลี ท่านกับฉันมีฐานะเหมือนฮารูนกับมูซา ยกเว้นจะไม่มีศาสดาหลังจากฉันอีกแล้ว” (ซอฮี๊ฮฺมุสลิม หะดีษที่ 637)
6- ท่านอิมามอะลี (อ) คือตัวตนของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ถ้าหากมวลมุสลิมได้ทำความเข้าใจเนื้อหาของคำว่า ตัวของเรา أَنْفُسَنَا ในโองการมุบาฮะละฮ์ มวลมุสลิมก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า โองการนี้ได้พิสูจน์ถึงการเป็นผู้นำของท่านอะลี เพราะศัพท์คำนี้นับว่า ท่านอะลีคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพสมบูรณ์แบบเหมือนท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ทุกประการ ยกเว้นตำแหน่งนุบูวะฮ์ (ศาสดา) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ท่านอะลีคือผู้ที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ถือว่า เป็นตัวตนของท่านเอง
ท่านอิมามอะลี (อ) ได้แสดงความคิด จิตวิญญาณ การกระทำทุกอย่างของท่านล้วนเป็นแบบอย่าง (สุนนะฮ์) ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ทั้งในยามที่ท่านมีชีวิตหรือยามที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้วได้ใกล้เคียงที่สุด หลังจากท่านอุมัรสิ้นชีพ ในวันที่คณะชูรอได้ประชุมสรรหาคอลีฟะฮ์คนที่ 3 ท่านอะลี ได้ถามคณะที่ประชุมวันนั้นว่า “ขอให้พวกท่านสาบานต่อพระองค์อัลลอฮ์ได้ไหมว่า ในหมู่พวกท่านมีใครสักคนไหมที่อัลลอฮ์ทรงทำให้เขาเปรียบเหมือนตัวตนของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) นอกจากฉันยังมีอีกไหม ?” พวกเขาทั้งหมดได้ตอบวันนั้นว่า “โอ้อัลลอฮ์ ไม่มี”
7- ท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ) คือมารดาแห่งศรัทธาชน เพราะถ้าหากมวลมุสลิมสังเกตุคำว่า สตรีของเรา نِسَاءَنَا ให้ดี เราจะพบว่าในวันนั้นท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) มิได้พาภรรยาคนใดของท่านไปกับท่าน หรือแม้กระทั่งซอฮาบียะฮ์ (สาวกสตรี) นางใดในมะดีนะฮ์ท่านก็ไม่ได้พาไปทั้งสิ้น ยกเว้นท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ) เพียงคนเดียวเท่านั้น นับได้ว่านี่คือความพิเศษหนึ่งของท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ) ดั่งที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ (ร.ฮ) ได้รายงานหะดีษกิซาอ์ไว้สั้นๆว่า
“ท่านหญิงอาอิชะฮ์เล่าว่า : ท่านนบี (ศ)ได้ออกมาในตอนเช้าวันหนึ่ง ที่ท่านมีผ้าห่ม (กีซาอ์) สีดำปักลายรูปการเดินทางของอูฐ เมื่อฮาซันบุตรของอะลีมาถึงท่านก็ให้เข้าไปอยู่ในผ้าห่ม หลังจากนั้นฮูเซนมาถึงก็เข้าไปอยู่ด้วย จากนั้นฟาติมะฮ์ได้มาถึง ท่านก็ได้ให้เข้าไปอยู่ด้วย เมื่ออะลีมาถึงท่านก็ให้เข้าไปอยู่ในผ้าห่มกับท่านด้วย แล้วท่านศาสดา (ศ) ได้กล่าวว่า “อันที่จริง อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดความโสมมออกจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์ของนบี และ(ทรงประสงค์ที่จะ)ชำระพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์” (หนังสือซอฮีฮุ มุสลิม หะดีษที่ 4450)
8-โองการมุบาฮะละฮ์เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่า ท่านอิมามอะลี (อ) ท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ) ท่านอิมามฮาซัน (อ) และท่านอิมามฮูเซน (อ) คืออะฮ์ลุลบัยต์คอส (วงศ์วานพิเศษ) ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ)
โดยเชคอับดุลญะวาด สว่างวรรณ