โดย เชคมันซูรฺ ลิฆออี ออสเตรเลีย
ปฐมบทแห่งศาสนา :
บรรดามุสลิมมีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเอกะพระองค์เดียว คืออัลลอฮฺ ด้วยวิทยปัญญาและความเมตตาของอัลลอฮฺ พระองค์ได้ทรงคัดเลือกบรรดามนุษย์ผู้ประเสริฐที่สุดให้เป็นผู้รับโองการของพระองค์ เราเรียกบุคคลเหล่านั้นว่าศาสดาและศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ส่งศาสนทูตของพระองค์มาเพื่อชี้นำมนุษย์ไปสู่หนทางที่เที่ยงตรง หน้าที่ของเหล่าศาสนทูตคือการประกาศสาส์นแห่งพระผู้เป็นเจ้าแก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย
จุดมุ่งหมายของศาสนา :
สาส์นแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่บรรดาศาสนทูตนำมาประกาศนั้นเรียกว่า “ศาสนา”
คำว่า “ศาสนา” หรือ “ดีน” (ในภาษาอาหรับ) มีความหมายตามตัวอักษรว่า การเชื่อฟังปฏิบัติตตามบทบัญญัติและหนทางของพระผู้เป็นเจ้า
ศาสนาประกอบด้วยกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ทำการวางโครงสร้างของระบบชีวิต การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านั้นจะนำพามนุษย์ให้เข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น และมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้า
อิสลาม :
ศาสนาที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้แก่มนุษยชาติคือ “อิสลาม” (การยอมจำนนและเชื่อฟังต่อพระผู้เป็นเจ้า) มีเพียงศาสนานี้เท่านั้นที่สามารถครอบคลุมความจำเป็นทุกด้านของมนุษย์ และหมายรวมไปถึงจุดมุ่งหมายที่กล่าวแล้วข้างต้น เพราะฉะนั้น ศาสนาเดียวอันเป็นที่ยอมรับสำหรับพระผู้เป็นเจ้านั้นคือ ศาสนาอิสลาม
“แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮฺนั้นคือ อัลอิสลาม…” (อัล-กุรอาน 3/19)
“และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน” (อัล-กุรอาน 3/85)
เพราะศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้า (อิสลาม) นั้น คือทางนำ และสัจธรรม ดังนั้น มันจึงนำพามนุษย์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
“พระองค์คือผู้ทรงส่งศาสนทูตของพระองค์มาพร้อมด้วยทางนำที่ถูกต้องและศาสนาแห่งสัจธรรม…” (อัล-กุรอาน 48/28)
ในประวัติศาสตร์ทางด้านศาสนา บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาได้ถกเถียงกันถึงศาสนาต่างๆ หลายศาสนา แต่ในคัมภีร์อัล-กุรอานอันจำเริญ ไม่เคยกล่าวถึงคำว่าศาสนาในรูปของพหูพจน์เลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ทรงยอมรับเพียงศาสนาเดียวเท่านั้นเป็นหนทางของพระองค์ และนั่นก็คืออิสลาม ด้วยเหตุนี้เอง ความแตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งระหว่างบรรดาศาสดาและศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดานักปรัชญาและนักคิดทั้งหลายแล้ว บรรดานักปรัชญาและนักคิดร่วมสมัยต่างก็ขัดแย้งกันและกัน หลักการคำสอนของพวกเขาและสำนักคิดทั้งหมดต่างก็โต้แย้งกัน แต่นั่นไม่เคยเกิดขึ้นในหลักการของสถานภาพความเป็นศาสดาเลย มีพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ประทานกฎเกณฑ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น พระองค์คือบ่อเกิดของอำนาจควบคุมบรรดาศาสดาทั้งหลาย พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ไม่ทรงเคยมีความขัดแย้งในตัวพระองค์เอง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้นในระหว่างคำสอนของบรรดาศาสนทูตของพระองค์เลย
คำสอนต่างๆ ของบรรดาศาสนาก็คล้ายคลึงกันกับระดับชั้นที่แตกต่างกันของโรงเรียนหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ที่เราเรียนในชั้นปีที่สองไม่มีความขัดแย้งกับคณิตศาสตร์ที่เราเรียนมาในชั้นปีที่หนึ่ง และมันจะไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่เราจะเรียนในระดับชั้นต่อๆ ไป มันกลับจะทำให้ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนครบถ้วนสมบูรณ์และก้าวหน้าไปจนกระทั่งถึงจุดที่นักเรียนมีความรู้มากพอที่จะแก้ปัญหาใหม่ๆ เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ได้ทั้งหมด ด้วยการนำวุฒิภาวะทางด้านคณิตศาสตร์ของเขามาใช้นั่นเอง
โรงเรียนของศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าก็อยู่ในสภาวการณ์เช่นเดียวกันนี้เอง พระผู้เป็นเจ้าทรงพิจารณาระดับความแตกต่างของภาวะจิตใจของมนุษยชาติมาตลอดช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ทรงเปิดเผยสัจธรรมแก่พวกเขาในระดับหนึ่งๆ จนกระทั่งสัจธรรมที่ครบถ้วนบริบูรณ์ได้ถูกเปิดเผยโดยการประทานคัมภีร์อัล-กุรอานมาแก่ศาสดามุฮัมมัด(ศ.) นั่นเอง