มันเป็นเรื่องโชคร้ายจริงๆ ที่ภาพลักษณ์ของความตายในใจเรานั้น ถูกเชื่อมโยงไปถึงความหายนะและชีวิตอันโดดเดี่ยวในหลุมฝังศพ แท้ที่จริงแล้ว ความตายคือการเดินทางจากโลกที่รุมเร้าไปด้วยความทุกข์ไปสู่การมีเสรีภาพ และจากโลกที่บีบคั้นไปด้วยความเจ็บปวดและปัญหามากมาย ไปสู่โลกแห่งความปิติยินดีและการเริ่มต้นชั่วนิรันดร์ที่ใกล้ชิดต่อ “ความพึงพอพระทัย” ของพระองค์ สำหรับผู้ที่แสวงหาความพึงพอใจทางจิตวิญญาณของโลกหน้า และสวนสวรรค์สำหรับผู้ที่แสวงหาความพึงพอใจทางด้านวัตถุ
สิ่งที่เผยให้เห็นขอบเขตของความใกล้ชิดที่มนุษย์มีต่อพระผู้อภิบาลของเขาอย่างแท้จริงก็คือ ท่าทีที่มีต่อความตาย คนที่กลัวความตาย แท้จริงแล้วคือเขากลัวความไม่แน่นอนที่จะมาภายหลังจากความตายต่างหาก ด้วยเหตุนี้เองที่อัล-กุรอานได้ทำให้ความปรารถนาต่อความตายเป็นสัญญาณของผู้ที่ต้องการจะเป็นสหายของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงเรียกร้องศาสดาอิบรอฮีมให้มาหาพระองค์เมื่อพระองค์ได้ส่งเทวทูตแห่งความตายมาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเอาวิญญาณของท่านไป โดยกล่าวว่า “ท่านรู้จักคนรักที่รังเกียจการพบกับคนที่เขารักหรือไม่?” นั่นคือคำตอบต่อคำถามของอิบรอฮีมที่ว่า “ท่านรู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่คิดจะเอาชีวิตของเพื่อนสนิทของเขาหรือไม่?” เมื่อครั้งที่เทวทูตแห่งความตายมาเพื่อเอาวิญญาณของท่านในคราวแรก
จงเตรียงพร้อมสำหรับความตายด้วยการเริ่มต้นอย่างดีที่สุดตั้งแต่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็นวัยที่การทำกิจกรรมต่างๆ มาถึงจุดสูงสุดของมัน มิฉะนั้นแล้ว มนุษย์อาจจะไม่สามารถเพียรพยายามจนไปสู่ความสมบูรณ์ระดับสูงได้เมื่ออยู่ในวัยชราซึ่งร่างกายจะอ่อนแอลง ผู้ที่เลื่อนเวลาในการสำนึกตนออกไปจนล่วงเลยวัยหนุ่มสาวที่ใช้ไปโดยไม่ยั้งคิดนั้นกำลังทำผิดพลาด เขาจะให้การรับรองชีวิตในช่วงแรกได้หรือไม่? และในช่วงที่สอง เขาจะรับรองการสำนึกผิดของตัวเองได้หรือ?
การสำนึกรู้ถึงช่วงเวลาที่แสนสั้นของชีวิต และในที่สุดความเพลิดเพลินพึงพอใจทั้งหมดของชีวิต ทั้งที่อนุญาตและไม่อนุญาต ล้วนต้องสูญสิ้นไป ทำให้ความหวงแหนในสิ่งเหล่านั้นบางเบาลงไป ความเชื่อตามโบราณดั้งเดิมนั้นถือว่าความตายคือ “เครื่องทำลายความเพลิดเพลินพึงพอใจ” อิสลามบัญญัติให้เราเตือนตัวเองถึงความตายอยู่เสมอ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอกลวงจากความหอมหวานของชีวิต ซึ่งจะทำถูกคิดบัญชีเมื่อมันสายไปเสียแล้ว
ในขณะที่ความตายมาถึงนั้น สิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ต้องประสบก็คือ ความเจ็บปวดทรมานของความตาย การแยกวิญญาณที่อยู่กับร่างกายมาเป็นเวลานั้นนั้นเป็นประสบการณ์ที่หนักหนาสาหัสที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ มันเหมือนกับการแยกทารกแรกเกิดออกจากแม่และมีความเจ็บปวดติดตามมา และเหมือนกับการถอดเล็บของนักโทษเมื่อผู้ทรมานต้องการให้เขาได้ลิ้มรสความตายอย่างช้าๆ แท้ที่จริงแล้วมันจะเป็นอย่างไร เมื่อร่างกายต้องถูกแยกออกจากวิญญาณ?
คำสอนของท่านศาสดา(ศ.) ที่กล่าวถึงสิ่งที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทรมานของความตาย ท่านได้สอนมนุษย์ให้กล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ โปรดช่วยเหลือข้าพระองค์ให้พ้นจากความเจ็บปวดทรมานของความตายด้วยเถิด”
และยังสอนให้มนุษย์ รักษาความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องและทำความดีต่อบิดามารดา เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่บุคคลสองกลุ่มนี้ถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง อัลลอฮฺก็ได้ทรงเน้นย้ำถึงพวกเขาเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของความตายก็คือการพยายามช่วยชี้นำผู้หลงผิดและละเลย เพราะอัลลอฮฺจะให้รางวัลแก่การนี้เมื่อความตายมาถึง ท่านศาสดา(ศ.) กล่าวว่า “ผู้ที่ช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ จะได้รับความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺในระหว่างช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานของความตาย ด้วยการกล่าวชะฮาดะฮฺ(คำปฏิญาณตน) และสิ่งที่เชื่อมโยงกับมัน” เพราะว่ามารร้ายจะพยายามหลอกลวงมนุษย์แม้ในนาทีสุดท้ายของชีวิต เพื่อให้ออกห่างจากพื้นฐานของความสุข ซึ่งคือความศรัทธาในอัลลอฮฺ ถ้าหากมันทำไม่สำเร็จในช่วงที่เขาใช้ชีวิตอยู่
Source : www.alseraj.net