อิสลามคือศาสนาที่มีความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว อิสลามสอนว่ามีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นต้นกำเนิดและเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาล หลักความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเรียกว่า “เตาฮีด” นี่คือรากฐานสำคัญของอิสลาม และปรากฏให้เห็นอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งเด็กมุสลิมต้องเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย หลักความเชื่อดังกล่าวคือการกล่าวว่า : ลา อิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ – ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลออฺ
“อัลลอฮฺ” คือชื่อภาษาอาหรับของพระผู้เป็นเจ้า เมื่ออัล-กุรอานถูกประทานมาเป็นภาษาอาหรับ ชาวมุสลิมจึงนิยมใช้ชื่อภาษาอาหรับสำหรับเรียกพระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ชาวคริสเตียนในประเทศอาหรับก็ใช้คำว่า “อัลลอฮฺ” ในบทสวดของพวกเขา
ด้วยหลักคำสอนที่ว่า มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นสำหรับมวลมนุษยชาติ อิสลามได้สนับสนุนส่งเสริมจิตสำนึกแห่งความเป็นภราดรภาพและความเสมอภาคสู่สังคมมนุษย์ มนุษย์ทั้งหมดล้วนมีเกี่ยวข้องกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างเท่าเทียมกันในหนทางเดียวกัน อัล-กุรอานได้นำเสนอหลักความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียวไว้ในโองการสั้นๆ ที่ไพเราะจับใจ ความว่า : “พระองค์ อัลลอฮฺนั้น ทรงเอกะ, อัลลอฮฺทรงเป็นที่พึ่ง, พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ, และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์” (อัล-กุรอาน บทที่ 112)
มุฮัมมัด(ศ.) ศาสนทูตท่านสุดท้าย
หลังจากศาสดาอีซา(เยซู) พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมุฮัมมัด(ศ.) มาในฐานะศาสดาและศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺท่านสุดท้าย ด้วยสภาวะการเป็นศาสดาของท่านนี้เอง ขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ในการชี้นำมนุษยชาติได้มาถึงจุดสูงสุดและสมบูรณ์แบบ
ศาสดามุฮัมมัดถือกำเนิดในเมืองมักกะฮฺแห่งดินแดนอาหรรับ ในครอบครัวที่สืบสายมาจากศาสดาอิบรอฮีมทางฝ่ายอิสมาอีลบุตรชายของท่าน ในวัยสี่สิบ ศาสดามุฮัมมัดได้รับการประทานโองการเป็นครั้งแรกจากพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านญิบรีล(กาเบรียล) ประมุขแห่งเทวทูต
ท่านได้เรียกร้องให้ชาวเมืองมักกะฮฺ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้บูชาเทวรูป ให้หันมาเคารพสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว และให้ใช้ชีวิตไปตามบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นการรับรองความสันติสุขและความปรองดองกันในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ประชาชนชาวมักกะฮฺส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่ยอมรับคำสอนของท่าน บรรดาสาวกซึ่งมีจำนวนเพียงน้อยนิดของท่านไม่ได้ยับยั้งท่านศาสดาจากการดำเนินภารกิจของท่านต่อไป มุฮัมมัด(ศ.) ยังได้รับการสนับสนุนในภารกิจของท่านอย่างเต็มที่จากสมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านหญิงคอดีญะฮฺ ภรรยาของท่าน และท่านอะลี(อ) ลูกพี่ลูกน้องของท่าน
หัวหน้าบรรดาผู้บูชาเทวรูปในเมืองมักกะฮฺ ผู้ซึ่งไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวเอง ได้เริ่มต้นแผนการต่อต้านท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ.) และศาสนาอิสลาม ดังนี้
ขั้นแรก พวกเขาเริ่มโฆษณาว่าร้ายต่อศาสดามุฮัมมัด
ขั้นต่อมา พวกเขาเริ่มห้ามไม่ให้ทำการติดต่อคบหาสมาคมและค้าขายกับชาวมุสลิม
ขั้นสุดท้าย พวกเขาได้วางแผนลอบสังหารท่านศาสดา
ในขณะนั้นเอง คำสอนของท่านศาสดาเป็นที่ยอมรับอย่างมากในหมู่ชาวเมืองมะดีนะฮฺ เมืองทางภาคเหนือของดินแดนอาหรับ ดังนั้น หลังจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยากลำบากในมักกะฮฺมาเป็นเวลาสิบสามปี ศาสดามุฮัมมัด(ศ.) ได้อพยพไปยังมะดีนะฮฺ ที่ซึ่งท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงสิบเอ็ดปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน
ในมะดีนะฮฺนี้เอง ที่ท่านศาสดาได้ก่อตั้งประชาคมของอิสลามขึ้นเป็นแห่งแรก ด้วยหลักคำสอนแห่งพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว และสร้างความเป็นภราดรภาพขึ้นในหมู่ชาวมุสลิม
อัล-กุรอาน
บทบัญญัติที่ศาสดามุฮัมมัดได้รับจากพระผู้เป็นเจ้าตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบสามปีแห่งภารกิจของท่านนั้น ได้ถูกรวบรวมไว้ในรูปแบบของเล่มหนังสือ และชาวมุสลิมทุกคนถือว่าเป็นคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม บทบัญญัตินี้เรียกว่า “อัล-กุรอาน”
อัล-กุรอานได้รับการเก็บรักษาโดยบรรดามุสลิมให้อยู่ในรูปแบบดั้งเดิมของมัน ชาวมุสลิมเก็บรักษามันไว้ในรูปแบบของงานเขียนและในการจดจำจากรุ่นสู่รุ่นมาตลอดสิบสี่ศตวรรษ แม้กระทั่งชาวมุสลิมที่ไม่มีความคุ้นเคยกับภาษาอาหรับยังสามารถเรียนรู้วิธีการอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานภาษาอาหรับได้
โดย : เมาลานา ซัยยิด มุฮัมมัด ริซวี
แปล/เรียบเรียง โดย เญาฮาเราะห์