อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ผู้ทรงยิ่งใหญ่ได้ประทานสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่บรรดาศาสดาของพระองค์เพื่อเป็นพยานหลักฐานของสถานภาพความเป็นศาสดาของพวกท่านเหล่านั้น ศาสดามุฮัมมัด(ศ.) ผู้เป็นศาสดาท่านสุดท้ายเพื่อประกาศศาสนาที่สมบูรณ์ของพระองค์ก็ได้รับสิ่งมหัศจรรย์เพื่อยืนยันถึงสถานะของท่านอย่างมากมาย และหนึ่งในนั้นคือการ มิอฺรอจ หรือการเดินทางสู่ฟากฟ้าในยามกลางคืนของท่าน ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในยุคสมัยของท่าน ที่จะมีใครสามารถเดินทางบนท้องฟ้าไปในที่ห่างไกลอย่างมากด้วยระยะเวลาอันแสนสั้นได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในยุคสมัยที่ยังไม่มีใครรู้จักหรือแม้แต่จะจินตนาการได้ถึงเครื่องบิน
“มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำ บ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้ความจำเริญ เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆของเรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น” (อัล-กุรอาน 17/1)
ศาสดามุฮัมมัด(ศ.) ศาสดาแห่งอิสลาม ได้เริ่มต้นการเดินทางแห่งสู่ฟากฟ้าอันลือลั่นในประวัติศาสตร์ของท่านพร้อมกับญิบรออีล เทวทูตผู้พิทักษ์และนำโองการที่เชื่อถือได้ การเดินทางเริ่มจากบ้านของอุมมุลฮานี บุตรสาวของอบูฏอลิบผู้เป็นลุงของท่าน และเป็นพี่สาวของอิมามอะลี(อ.) ในมหานครมักกะฮฺอันจำเริญ ด้วยความช่วยเหลือจากม้า อัล-บุรอก ท่านได้เดินทางไปยังบัยตุล-มุกอดดิส ซึ่งในเวลานั้นอยู่ในประเทศจอร์แดน และรู้จักกันในชื่อ มัสญิด อัล-อักซอ (มัสญิดอันไกลโพ้น) ท่านไปถึงยังสถานที่แห่งนั้นด้วยเวลาอันสั้น และได้เยือนสถานที่หลายแห่งภายในมัสญิด รวมทั้ง บัยตุล-ละฮัม อันเป็นสถานที่กำเนิดของศาสดาอีซา อัล-มะซีห์ (พระเยซูคริสต์) และบ้านเรือนและสถานที่สำคัญของบรรดาศาสดาต่างๆ และในบางสถานที่ท่านได้ทำการนมาซสองรอกาอัต
ในลำดับต่อมา(ของการเดินทาง) ท่านได้เดินทางจากจุดนั้นไปยังชั้นฟ้า ที่ซึ่งท่านได้ประจักษ์กับสายตาถึงบรรดาเทหะวัตถุต่างๆ ในท้องฟ้าและจักรวาล ท่านได้พูดกับรูฮฺ(จิตวิญญาณ) ของบรรดาศาสนทูตรุ่นก่อนๆ และบรรดาเทวทูตทั้งหลาย ท่านได้เห็นทั้งสวรรค์และนรกอย่างใกล้ชิด รวมถึงชาวนรกและชาวสวรรค์ในระดับชั้นต่างๆ กัน สิ่งถูกสร้างที่เร้นลับเหล่านี้ และความลับแห่งการกำเนิดจักรวาล การแผ่ขยายของโลกแห่งการสร้างสรรค์ และพลังอำนาจอันไร้ขีดจำกัดของอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งยิ่ง คือความรู้อันครบถ้วนสมบูรณ์ที่ท่านได้รับ
ท่านยังเดินทางต่อไปจนถึงอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่า “ซิดรอตุล มุนตะฮา” สถานที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยความยิ่งใหญ่อลังการและเลิศลอย และจากสถานที่นี้ท่านก็ได้เดินทางกลับในเส้นทางเดิม และระหว่างทางกลับ ท่านได้แวะเยือนบัยตุล-มุกอดดัสอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเดินทางต่อจนกลับมาถึงมักกะฮฺบ้านเมืองของท่าน
ระหว่างการเดินทางกลับนี้ ท่านได้พบกับคาราวานพ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่มาจากเผ่ากุเรชซึ่งกำลังตามหาอูฐตัวหนึ่งของพวกเขาที่หายไป ท่านศาสดา(ศ.) ได้ดื่มน้ำกับกลุ่มคนในคาราวานนี้ และเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นท่านก็เดินทางกลับมาถึงบ้านของอุมมุลฮานี
ท่านได้บอกถึงสิ่งเร้นลับ (ที่ท่านได้พบเห็น) แก่อุมมุลฮานีในวันนั้น และประกาศแก่ชาวกุเรชถึงเรื่องราวการมิอฺราจ(การเดินทางสู่ฟากฟ้า) ของท่าน และเปิดใจของพวกเขาให้รับรู้เหตุการณ์นี้ เรื่องราวการเดินทางของท่านแพร่สะพัดไปจากปากต่อปากจนรู้กันไปทั่ว และครั้งนี้ ชาวกุเรชไม่พอใจในตัวท่านมากกว่าครั้งใดที่ผ่านมา
ชาวกุเรชกล่าวหาว่าท่านพูดโกหก ตามนิสัยดั้งเดิมของพวกเขา และในการจับกลุ่มกันครั้งหนึ่งในเมืองมักกะฮฺ มีชายคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วถามว่า เคยมีใครในเมืองมักกะฮฺได้ไปเห็นบัยตุล-มุกอดดัสมาบ้างหรือไม่ เพื่อเขาจะได้สอบถามท่านศาสดา(ศ.) ถึงรูปร่างลักษณะของตัวอาคารมัสญิด ท่านศาสดา(ศ.) ไม่เพียงแต่บอกพวกเขาถึงรายละเอียดของตัวอาคารบัยตุล-มุกอดิสเท่านั้น แต่ท่านยังบอกให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางนั้นด้วย และไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มนักเดินทางในกองคาราวานที่พบกับท่านระหว่างทาง ก็ได้รายงานถึงเหตุการณ์เดียวกันเป็นการยืนยันคำพูดของท่าน
ช่วงเวลาของการมิอฺราจ(การเดินทางสู่ฟากฟ้า)
มีบันทึกรายงานถึงเวลาแห่งการเดินทางสู่ฟากฟ้าของท่านศาสดาแห่งอิสลามมีสองรายงาน จากนักประวัติศาสตร์มุสลิมคนสำคัญสองท่าน คืออิบนฺ อิสฮาก และอิบนฺ ฮิชาม รายงานว่าเกิดขึ้นในปีที่ 10 หลังการแต่งตั้งเป็นศาสดาของท่าน และบัยฮากี นักประวัติศาสตร์มุสลิมคนสำคัญอีกท่านหนึ่งบันทึกรายงานว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีที่ 12 ของการแต่งตั้ง
มีรายงานฮะดีษ(บันทึกคำพูด) และหนังสือประวัติศาสตร์ ระบุว่า ในค่ำคืนแห่งการมิอฺราจนี้เองอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ได้ทรงบัญญัติให้การนมาซห้าเวลาประจำวันเป็นข้อบังคับสำหรับประชาชาติมุสลิม
Source : www.al-islam.org