ชาวมุสลิมเชื่อว่า อีซา(อ.) หรือพระเยซู ถูกส่งมาเพื่อเป็นศาสดาของอัลลอฮฺ แต่ท่านไม่ใช่พระเจ้า และไม่ใช่บุตรของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ชาวมุสลิมยังไม่เชื่ออีกว่าอีซา(อ.) หรือที่ชาวคริสเตียนและศาสนิกอื่นเรียกว่าพระเยซูนั้น ได้สิ้นเสียชีวิตหรือถูกตรึงกางเขน เราเชื่อว่าท่านถูกยกขึ้นสู่เบื้องบนและอยู่ที่นั่น และจะกลับลงมาเมื่อถึงเวลาที่ถูกกำหนดไว้ เพื่อยุติสงครามทั้งหลาย และนำสันติภาพมาสู่โลก
มุฮัมมัด(ศ.) ก็เป็นศาสดาและศาสนทูตเช่นเดียวกับเยซู(อ.) ถึงแม้ว่ามุฮัมมัด(ศ.) จะเป็นศาสดาท่านสุดท้าย และไม่มีศาสดาภายหลังจากท่านอีกก็ตาม ด้วยเหตุนี้ อิสลามจึงเป็นศาสนาสุดท้าย ที่สมบูรณ์ด้วยอัล-กุรอานอันจำเริญ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำอันสมบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้ามามากกว่า 1,400 ปีแล้ว ดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าจะพิทักษ์มันจนถึงวันสุดท้ายเพื่อมนุษยชาติทั้งหลาย ไม่เหมือนกับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอื่นเพิ่มบทแปลและ “ปรับปรุงใหม่” เป็นระยะๆ พระผู้เป็นเจ้า หรือในภาษาอาหรับเรียกว่าอัลลอฮฺ คือพระผู้สร้างผู้ทรงสูงส่งยิ่ง
อัล-กุรอานอันจำเริญ ได้กล่าวถึงพระเยซูหรืออีซา(อ.) ไว้ดังนี้ :
“… และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซาและหาได้ตรึงเขาบนไม้กางเขนไม่ แต่ทว่าเขาถูกให้เหมือนแก่พวกเขา…” (อัล-กุรอาน 4/157)
ศาสดาอีซา(อ.) เอง ได้กล่าวถึงการมาของศาสดามุฮัมมัด(ศ.) ในคัมภีร์ไบเบิล ดังนี้ :
“ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา จงรักษาบัญญัติของเรา เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป” (ไบเบิล, ยอห์น 14/15-16)
“แต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา และท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว” (ไบเบิล, ยอห์น 15/26-27)
“เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ เมื่อ พระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย” (ไบเบิล, ยอห์น 16/12-14)
บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิของอิสลามกล่าวว่า บุคคลผู้ที่ศาสดาอีซา(อ.) ได้อธิบายไว้วว่าจะมาภายหลังจากท่าน ในบทต่างๆ ข้างต้นนั้น ไม่ใช่ใครอื่นเลย นอกจากศาสดามุฮัมมัด(ศ.)
ในกรณีนี้ “ผู้ปลอบประโลมใจ” ที่ท่านได้กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่คนอื่นนอกจากศาสดามุฮัมมัด(ศ.) และบทบัญญัติ แนวทางการดำเนินชีวิต และคัมภีร์(อัล-กุรอาน) ของท่านนั้น คือสิ่งที่ศาสดาอีซา(อ.) ได้ขอให้ผู้ปฏิบัติตามท่านได้ยึดถือปฏิบัติตาม
“บุคคล” ผู้ที่พระเยซูหรืออีซา(อ.) ได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าจะมาภายหลังจากท่านนั้น ในไบเบิลเรียกว่า “ปาร์กาลีตา” คำนี้ถูกลบออกไปโดยนักอรรถาธิบายและนักแปล และได้เปลี่ยนเป็นคำว่า “พระวิญญาณแห่งความจริง” บ้าง, “ผู้ปลอบประโลมใจ” บ้าง และในบางครั้งก็ใช้คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” คำภาษากรีกดั้งเดิม (ปาร์กาลีตา) นั้น ตามความหมายของคำแปลว่า “ผู้ซึ่งคนทั่วไปยกย่องสรรเสริญอย่างมากมาย” ตามความหมายของคำศัพท์นั้นจึงตรงกันกับคำว่ามุฮัมมัดในภาษาอาหรับ เพราะมุฮัมมัด หมายถึง “ผู้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ”
พระเยซูยังได้กล่าวไว้ในไบเบิลอีกว่า
“…อีกหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา เพราะเราไปถึงพระบิดา” (ไบเบิล, ยอห์น 16/16)
และอัล-กุรอานกล่าวไว้ว่า
“…และพวกเขามิได้ฆ่าเขาด้วยความแน่ใจ หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกเขา (อีซา) ขึ้นไปยังพระองค์ต่างหาก” (อัล-กุรอาน 4/157-158)
ด้วยเหตุนี้เอง ชาวมุสลิมจึงเชื่อว่าศาสดาอีซา(อ.) ได้ถูกยกขึ้นสู่เบื้องบน จากรายฮะดีษ(คำพูด) บทหนึ่งจากท่านศาสนทูต(ศ.) ได้กล่าวไว้ว่า “ในระหว่างการมิอฺรอจ(การเสด็จสู่ฟากฟ้า) ฉันได้พบกับอีซา(อ.) ในสวรรค์ชั้นที่สอง ฉันพบว่าท่านสูงปานกลาง ผิวขาวปนแดงระเรื่อ ร่างกายของท่านบริสุทธิ์ผ่องใส ราวกับว่าท่านเพิ่งทำการฆุซุล(ชำระล้างร่างกายทั้งหมด) มา”
ในรายงานฮะดีษอีกบทหนึ่ง ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ.) ได้กล่าวแก่ชาวยิวว่า “ศาสดาอีซา(อ.) ยังไม่ตาย ท่านจะกลับมายังพวกท่านก่อนวันกิยามะฮฺ (วันแห่งการพิพากษา) อย่างแน่นอน)
Source :www.tebyan.net