มุฮัมมัด ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์(2)
จากการจัดลำดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์
โดย ไมเคิล เอช. ฮาร์ท
การพิชิตที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
เมื่อมุฮัมมัด(ศ.) ได้จากโลกนี้ไปในปีค.ศ.632 เขาเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของดินแดนอาหรับใต้ ชนเผ่าเบดูอินของอาหรับมีชื่อเสียงว่าเป็นนักรบผู้เก่งกาจ แต่พวกเขามีจำนวนน้อย และถูกรังควานด้วยการทำสงครามล้างผลาญและกันกันอย่างไม่เป็นเอกภาพ พวกเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพที่ยิ่งใหญ่กว่าจากอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่การเพาะปลูกทางภาคเหนือ อย่างไรก็ตาม ด้วยการรวบรวมพลของมุฮัมมัด(ศ.) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และด้วยแรงบันดาลใจจากความศรัทธาอันแรงกล้าในพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว กองทัพอาหรับเล็กๆ เหล่านี้ได้ทำการต่อสู้จนได้การพิชิตชัยชนะที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ พวกเขาไปถึงทางตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนอาหรับอันเป็นที่ตั้งของอาณาจักรซัสสานิดส์ของเปอร์เซียยุคใหม่ ไปถึงตะวันตกเฉียงเหนือของไบแซนทีน หรือแม้แต่อาณาจักรโรมันตะวันออกซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในคอนสแตนติโนเปิล
ในด้านของจำนวนนั้น ชาวอาหรับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม แต่ในสนามของการสู้รบ ชาวอาหรับผู้มีแรงดลใจได้พิชิตดินแดนทั้งหมดของเมโสโปเตเมีย, ซีเรีย และปาเลสไตน์ ในปี 642 อียิปต์ถูกชิงมาจากอาณาจักรไบแซนทีน ในขณะที่กองทัพเปอร์เซียถูกบดขยี้ในสงครามครั้งสำคัญที่กอดิซียะฮฺในปี 637 และเนฮาเว็นด์ในปี 642
แต่การพิชิตอันยิ่งใหญ่ ภายใต้การนำของอบูบักร์ และอุมัร อิบนฺ อัล-ค๊อฏฏอบ สหายสนิทและผู้สืบตำแหน่งของมุฮัมมัด(ศ.) ในขณะนั้น ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของความเจริญก้าวหน้าของอาหรับ ในปี 711 กองทัพอาหรับได้ขยายอาณาเขตออกไปข้ามแอฟริกาเหนือไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก แล้วขึ้นไปทางเหนือผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ ไปเอาชนะราชอาณาจักรวิสิโกติก (Visigothic) ในสเปน ดูเหมือนว่าชาวมุสลิมจะครอบคลุมดินแดนยุโรปของชาวคริสเตียนอยู่ได้ระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในปี 732 ในการสู้รบที่โด่งดังแห่งทัวร์(Tours) ซึ่งได้บุกเข้าจนถึงศูนย์กลางของฝรั่งเศส ถูกต้องพ่ายแพ้แก่ชาวฝรั่งเศสนั่นเอง
แต่ถึงกระนั้น ในศตวรรษแห่งการต่อสู้นี้ ชนเผ่าเบดูอิน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนของศาสดา ได้สร้างอาณาจักรที่ทอดยาวจากชายแดนของอินเดียไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยประจักษ์แก่สายตาโลก แต่ทุกหนแห่งที่กองทัพเหล่านี้ได้รรับชัยชนะ จำนวนผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาใหม่นี้ก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น ในปัจจุบัน การพิชิตเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นชัยชนะอย่างถาวรเสมอไป ชาวเปอร์เซีย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังศรัทธาในศาสนาของท่านศาสดา ตั้งแต่ได้รับเอกราชจากชาวอาหรับ และในสเปน จากการต่อสู้อันยาวนานกว่าเจ็ดศตวรรษ ในที่สุด ชาวคริสเตียนก็ได้ชัยชนะเหนือคาบสมุทรสเปอนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สำหรับเมโสโปเตเมียและอียิปต์ แหล่งอารยธรรมโบราณทั้งสองแห่ง ยังคงเป็นของอาหรับ เช่นเดียวกับชายฝั่งแอฟริกาเหนือทั้งหมด
อิสลามยังคงเติบโตต่อไป
ศาสนาใหม่นี้ ยังแพร่ขยายต่อไปเรื่อยๆ ตลอดช่วงเวลาหลายศตวรรษ ห่างไกลไปจากเขตแดนดั้งเดิมของชาวมุสลิม ปัจจุบัน อิสลามมีผู้ปฏิบัติตามหลายสิบล้านคนในแอฟริกา เอเชียกลาง และมีจำนวนมากอยู่ในปากีสถาน ภาคเหนือของอินเดีย และในอินโดนีเซีย ในอินโดนีเซียนั้น ศาสนาใหม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกภาพ แต่ในภูมิภาคเล็กๆ ของอินเดียนั้น ยังมีความขัดแย้งอยู่ระหว่างชาวมุสลิมและชาวฮินดู ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญของการเป็นเอกภาพ
ดังนั้นแล้ว จะมีผู้ประเมินกระทบทั้งหมดจากมุฮัมมัด(ศ.) ที่มีต่อประวัติศาสตร์ของมนุษย์ว่าอย่างไร? เช่นเดียวกับศาสนาทั้งหมด อิสลามมีอิทธิพลอย่างสูงในการใช้ชีวิตของสาวกผู้ปฏิบัติตาม ด้วยเหตุผลนี้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงผู้สถาปนาศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของโลกไว้เป็นบุคคลที่โดดเด่น เมื่อประมาณการณ์คร่าวๆ แล้วว่ามีจำนวนของชาวคริสเตียนในโลกนี้มากกว่าชาวมุสลิมอยู่สองเท่า จึงอาจดูเหมือนแปลกที่มุฮัมมัด(ศ.) ถูกจัดอันดับให้อยู่ในตำแหน่งนำหน้าพระเยซู ข้าพเจ้ามีเหตุผลสำคัญอยู่สองข้อในการตัดสินเช่นนั้น ข้อแรกก็คือ มุฮัมมัด(ศ.) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของศาสนาอิสลาม มากกว่าที่พระเยซูมีต่อการพัฒนาศาสนาคริสต์
มุฮัมมัด(ศ.) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของศาสนาอิสลาม มากกว่าที่พระเยซูมีต่อการพัฒนาศาสนาคริสต์
ถึงแม้ว่าพระเยซูจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการให้คำสั่งสอนในด้านจริยธรรมและศีลธรรมของศาสนาคริสต์ แต่เซนต์ปอล เป็นผู้พัฒนาสำคัญในหลักวิชาการของคริสต์ศาสนา เป็นผู้บันทึกที่สำคัญ และเป็นผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลหลายบท ส่วนมุฮัมมัด(ศ.) นั้น เป็นผู้ทำหน้าที่ทั้งในด้านการให้หลักวิชาการของอิสลาม และหลักการสำคัญด้านจริยธรรมและศีลธรรม นอกจากนั้น เขายังมีบทบาทสำคัญในการบันทึกคัมภีร์ของศาสนาใหม่ และวางรากฐานการปฏิบัติศาสนกิจของอิสลาม และยิ่งกว่านั้น เขาเป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม ที่เรียกว่ากุรอาน ซึ่งเขาเชื่อว่าได้รับการดลบันดาลโดยตรงจากอัลลอฮฺมายังตัวเขา คัมภีร์นี้ได้ถูกจดบันทึกด้วยความศรัทธาในระหว่างการมีชีวิตอยู่ของมุฮัมมัด(ศ.) และถูกเก็บรวบรวมเป็นรูปเล่มหลังจากเขาเสียชีวิตได้ไม่นาน ดังนั้น กุรอาน จึงแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดและคำสอนของมุฮัมมัด(ศ.) อย่างใกล้ชิด และมีคำสอนจากคำพูดของตัวเขาเองที่น่าพิจารณาอีกด้วย ซึ่งไม่มีการรวมรวมคำสอนอย่างละเอียดเช่นนั้นของพระคริสต์หลงเหลืออยู่เลย
ในเมื่อกุรอาน ซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็มีความสำคัญต่อชาวมุสลิมเช่นเดียวกับที่ไบเบิลมีความสำคัญต่อชาวคริสต์ แต่อิทธิพลของมุฮัมมัด(ศ.) ที่ผ่านคำสอนของกุรอานนั้นมีอย่างมากมาย จนน่าจะเชื่อได้ว่าอิทธิพลความเกี่ยวข้องของมุฮัมมัด(ศ.)ที่มีต่ออิสลามนั้น มีมากกว่าอิทธิพลร่วมกันของพระเยซูและเซนต์ปอลที่มีต่อศาสนาคริสต์
เหตุผลข้อที่สอง นอกเหนือจากในระดับของศาสนาเพียงอย่างเดียวที่ทำให้มุฮัมมัด(ศ.) มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ของมนุษย์มากที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงอีกประกามรหนึ่งก็คือ เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพลังขับเคลื่อนสู่การพิชิตชัยของชาวอาหรับที่มีครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้น เขาจึงถูกจัดว่าเป็นผู้นำทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดตลอดกาล จากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญหลายต่อหลายครั้งนั้น จากเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายครั้ง อาจมีผู้กล่าวได้ว่ามันสามารถจะเกิดขึ้นได้แม้จะไม่มีผู้นำทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องชี้นำพวกเขาก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น ชาวเมืองขึ้นในอเมริกาใต้อาจได้รับเอกราชจากสเปนถึงแม้จะไม่มีไซมอน โบลิวาร์ก็ตาม แต่สิ่งนี้ไม่อาจกล่าวได้กับชัยชนะของชาวอาหรับ ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นก่อนหน้ามุฮัมมัด(ศ.) และไม่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่า การพิชิตเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จได้ถ้าไม่มีเขา การพิชิตชัยชนะที่พอจะเปรียบกันได้ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็คงจะเป็นการพิชิตของชาวมองโกลในศตวรรษที่สิบสาม ซึ่งมีอิทธิพลแรกเริ่มมาจากเจงกิสข่าน แต่การพิชิตเหล่านั้นก็ไม่ได้ยาวนานเหมือนการพิชิตของชาวอาหรับ และไม่คงทนถาวร ปัจจุบันนี้พื้นที่เดียวที่ชาวมองโกละครอบครองอยู่คือพื้นที่ดั้งเดิมที่พวกเขาครอบครัวอยู่ในสมัยของเจงกิสข่านเท่านั้น แตกต่างกันกับการพิชิตของชาวอาหรับ จากอิรักไปถึงโมรอคโค ความเชื่อมโยงของชาติอาหรับรวมตัวกันไม่ใช่ด้วยความศรัทธาในอิสลามของพวกเขาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกเขายังรวมกันด้วยการใช้ภาษา, ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมด้วย
เราจึงเห็นได้ว่า การพิชิตของชาวอาหรับในศตวรรษที่เจ็ดนั้นยังมีคงมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของมนุษย์อยู่จวบจนถึงปัจจุบัน ด้วยอิทธิพลทางศาสนานี้เองที่ข้าพเจ้าได้ยกย่องให้มุฮัมมัด(ศ.) เป็นบุคคลเดียวที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
แปล/เรียบเรียง : เญาฮาเราะห์
Source : www.tebyan.net