ทางนำและความหลงผิด

โดย: เชค มุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

152

ในตัวมนุษย์เรานั้นมีสองด้านที่ขัดแย้งกันและค่อยต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา ด้านทั้งสองนี้ได้แก่ ด้านของสติปัญญาและด้านของอารมณ์ใฝ่ต่ำ แต่ละด้านดังกล่าวจะคอยชักนำมนุษย์ไปสู่ทิศทางซึ่งตรงกันข้ามกันอยู่เสมอ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ด้านของสติปัญญา ด้านแห่งพระผู้เป็นเจ้า หรือด้านแห่งฟากฟ้านั้น จะคอยชี้นำมนุษย์ไปสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ ไปสู่ความสมบูรณ์ (กะมาลาต) และคุณค่าต่างๆ อันสูงส่ง แต่ในทางตรงกันข้าม ด้านของความเป็นสัตว์ ด้านแห่งวัตถุ หรือด้านของอารมณ์ใฝ่ต่ำ จะคอยชักนำเขาไปสู่ความตกต่ำ และจะหยุดมนุษย์ไว้แต่ในเรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรที่เขาจะสามารถสนองตอบอารมณ์ใคร่และสัญชาตญาณแห่งความเป็นสัตว์ให้ได้มากที่สุด มันจะคอยยับยั้งเขาจากการพัฒนาการไปสู่ความสมบูรณ์และความสูงส่งทางด้านจิตวิญญาณ

ด้านทั้งสอง (ด้านของความเป็นมนุษย์และด้านของความเป็นสัตว์) แต่ละด้านนั้นจะสำแดงบทบาทและรูปโฉมของมันออกมาในการกระทำของมนุษย์ และโดยสื่อจากการกระทำ (อะมั้ล) ของมนุษย์นี่เองที่จะเป็นตัวกำหนดว่าเขาจะอยู่ในแถวของความเป็นสัตว์หรือแถวของความเป็นมนุษย์ ผู้ที่สนองตอบการเรียกร้องของสติปัญญา และมีชัยชนะเหนืออารมณ์ใฝ่ต่ำ หมายความว่า อารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของสติปัญญาของเขา พวกเขาก็จะเข้าอยู่ในด้านหนึ่งหรือฝ่ายหนึ่ง ส่วนผู้ที่ตกเป็นทาสของอารมณ์ใฝ่ต่ำและตัณหา พวกเขาก็จะยืนอยู่ในด้านหรือฝ่ายที่ตรงข้ามกับบุคคลกลุ่มแรก

ในสำนวนคำพูดของท่านอิมามซอดิก (อ.) เมื่อมีผู้ถามท่านว่า “มะลาอิกะฮ์ประเสริฐที่สุด หรือลูกหลานของอาดัม?” ท่านได้อ้างคำพูดของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี อิบนิอะบีฏอลิบ (อ.) ซึ่งกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ได้ประกอบไว้ในมะลาอิกะฮ์ซึ่งสติปัญญาโดยปราศจากความใคร่ และพระองค์ได้ทรงประกอบเข้าไว้ในสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายซึ่งความใคร่โดยปราศจากสติปัญญา และพระองค์ได้ทรงประกอบไว้ในลูกหลานของอาดัมซึ่งสิ่งทั้งสอง

ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่สติปัญญาของเขาสามารถพิชิตความใคร่ของเขาได้ ดังนั้น เขาคือผู้ที่ประเสริฐกว่ามะลาอิกะฮ์ และผู้ใดก็ตามที่ความใคร่ของเขาพิชิตสติปัญญาของเขา ดังนั้น เขาคือผู้ที่เลวร้ายยิ่งกว่าบรรดาสัตว์เดรัจฉาน” (1)

ฉะนั้นในมุมมองของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน (อ.) และท่านอิมามซอดิก (อ.) มนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่งยอมรับการชี้นำของสติปัญญา ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นตกเป็นทาสของอารมณ์ใฝ่ต่ำและความใคร่ต่างๆ

จากจุดนี้เอง ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จึงถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว และมนุษยชาตินั้นยืนอยู่ในสองฝ่ายที่ตรงกันข้ามและเผชิญหน้ากัน กลุ่มหนึ่งอยู่ในฝ่ายของสัจธรรม และอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในฝ่ายของความหลงผิด

ในท่ามกลางความขัดแย้งและความตรงกันข้ามนี่เองที่สงครามและการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายแห่งทางนำ (ฮิดายะฮ์) กับฝ่ายของความหลงผิด (ฎอลาละฮ์) จึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากมันคือคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ว่า แสงสว่าง (นูร) กับความมืดมน (ซุลมะฮ์) และทางนำ (ฮิดายะฮ์) กับความหลงผิด (ฎอลาละฮ์) หรือกล่าวโดยสรุปแล้ว ธรรมะกับอธรรมคือสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อยู่คู่ขนานกัน และจะต้องทำสงครามห้ำหั่นกันตลอดไปนั่นเอง ดังนั้น คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า

“บรรดาผู้ศรัทธาจะต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ และบรรดาผู้ปฏิเสธจะต่อสู้ในหนทางของมารร้าย…” (2)

ในทุกยุคสมัยและทุกๆ ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในแต่ละฝ่าย ทั้งในฝ่ายของธรรมะและฝ่ายอธรรม จะพบว่ามีบุคคลจำนวนหนึ่งที่แสดงตนขึ้นมาและรับบทบาทการเป็นผู้นำของกลุ่มชนในฝ่ายของตน บุคคลที่อยู่ในฝ่ายธรรมะคืออิมามแห่งทางนำ (อิมามุลฮิดายะฮ์) หรือ “อิมามุนนูร” (อิมามแห่งแสงสว่าง) ส่วนบุคคลที่อยู่ในฝ่ายตรงข้ามคืออิมามแห่งความหลงผิด (อิมามุฎฎอลาละฮ์) หรือ “อิมามุนนาร” (ผู้นำสู่ไฟนรก) อิมามหนึ่งเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ไปสู่แสงสว่าง (นูร) และอีกอิมามหนึ่งนั้นเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ไปสู่ไฟนรก (นาร) ทั้งผู้นำและผู้ถูกชี้นำนั้นจะถูกรวมเข้าด้วยกัน

“พวกเหล่านั้น (กลุ่มแรก) จะอยู่ในสรวงสวรรค์ และพวกเหล่านั้น (กลุ่มที่สอง) จะอยู่ในไฟนรก” (3)

“อิมามุนนูร” (ผู้นำสู่แสงสว่าง) และ “อิมามุนนาร” (ผู้นำสู่ไฟนรก)

ในตรรกะและแนวคิดแห่งอิสลามนั้นชี้ให้เราได้เห็นว่า มีอิมาม (ผู้นำ) สองประเภทนี้อยู่ อิมามหนึ่งนั้นเป็นผู้นำของมวลผู้ยำเกรง ชี้นำไปสู่เส้นทางแห่งทางนำและสัจธรรม ดังที่คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวถึงผู้นำประเภทนี้ว

“และเราได้บันดาลพวกเขาให้เป็นผู้นำ ซึ่งพวกเขาจะนำทางโดยคำบัญชาของเรา และเราได้ดลมายังพวกเขาให้ปฏิบัติความดี ดำรงการนมาซ และบริจาคทานซะกาต และพวกเขาเป็นผู้เคารพภักดีต่อเราเท่านั้น” (4)

อิมามเหล่านี้คือบรรดาอิมามผู้ซึ่งแบบแผนในการชี้นำของพวกท่านเป็นสิ่งชัดเจน นั่นคือ การชี้นำไปสู่เตาฮีด (การยอมรับในพระเจ้าองค์เดียว) ไปสู่คุณธรรมความดี ไปสู่สัจธรรมและความเที่ยงธรรม บุคคลเหล่านี้คือ “อิมามุนนูร” (ผู้นำแห่งแสงสว่าง) ซึ่งแนวทางของพวกเขา คือการสืบสานภารกิจของบรรดาศาสดา เป็นแนวทางเดียวที่ถูกวางรากฐานไว้นับจากท่านศาสดาอาดัม (อ.) จนถึงยุคสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และบรรดาวะซีย์ (ผู้สืบทอด) ของท่าน

อิมามกลุ่มที่สอง ผู้ซึ่งชี้นำมนุษย์ไปสู่ความหลงผิด (ฎอลาละฮ์) คัมภีร์อัลกุรอานเรียกอิมามเหล่านี้ว่า “อิมามุนนาร” (ผู้นำสู่ไฟนรก)

“เราได้บันดาลให้พวกเขาเป็นผู้นำ ซึ่งจะเรียกร้องเชิญชวน (มนุษย์) ไปสู่ไฟนรก และในวันกิยามะฮ์ พวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ” (5)

บรรทัดฐานในการรู้จักผู้นำ

คุณลักษณะเฉพาะของอิมาม (ผู้นำ) ทั้งสองกลุ่มนี้ มีปรากฏอยู่ในคำพูดของท่านอิมามซอดิก (อ.) เช่นเดียวกัน ซึ่งท่านกล่าวว่า “แท้จริงบรรดาอิมาม (ผู้นำ) ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ผู้ทรงเกริกเกียรติ ผู้ทรงเกรียงไกรนั้น มีสองอิมาม อัลลอฮ์ผู้ทรงจำเริญ ผู้ทรงสูงส่ง ได้ทรงตรัสว่า ‘และเราได้บันดาลให้พวกเขาเป็นผู้นำซึ่งจะชี้นำโดยคำบัญชาของเรา มิใช่คำบัญชาของมนุษย์ (อิมามกลุ่มนี้) พวกเขาจะยึดเอาคำบัญชาของอัลลอฮ์มาก่อนคำบัญชาของมนุษย์

และยึดเอาคำตัดสินชี้ขาดของอัลลอฮ์มาก่อนคำตัดสินของมนุษย์’ และพระองค์ได้ทรงตรัส (อีกเช่นกัน) ว่า ‘และเราได้บันดาลพวกเขาให้เป็นผู้นำที่เรียกร้องเชิญชวนไปสู่ไฟนรก’ (อิมามกลุ่มนี้) พวกเขาจะยึดเอาคำบัญชาของพวกเขาเองมาก่อนคำบัญชาของอัลลอฮ์ และยึดเอาการตัดสินของพวกเขามาก่อนการตัดสินชี้ขาดของอัลลอฮ์ และพวกเขาจะยึดเอาตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา โดยขัดแย้งต่อสิ่งที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเกริกเกียรติ ผู้ทรงเกรียงไกร” (6)

นี่คือบรรทัดฐานในการรู้จักอิมาม (ผู้นำ) ในทัศนะของอิสลาม ที่แยกแยะให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดระหว่างผู้นำแห่งพระเจ้าหรือ “อิมามุนนูร” (ผู้นำสู่แสงสว่าง) กับผู้นำแห่งมารร้ายหรือ “อิมามุนนาร” (ผู้นำสู่ไฟนรก)

ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ แถวของบุคคลทุกกลุ่มก็จะถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน แต่ละกลุ่มก็จะมุ่งหน้าหาอิมาม (ผู้นำ) ของตนเอง ดังที่คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า (จงรำลึกถึง) วัน (ชาติหน้า) ซึ่งเราจะเรียกมนุษย์ทุกคนพร้อมกับผู้นำของพวกเขา” (7)

ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ (มะอาด) หรือปรโลก (อาคิเราะฮ์) เป็นวันของการ “ตะญัซซุมอัลอะอ์มาล” (การปรากฏภาพหรือการก่อรูปของการกระทำต่างๆ) ของมุนษย์ที่ได้ประพฤติปฏิบัติตนไว้ในโลกดุนยานี้ ในโลกดุนยานี้ใครก็ตามที่มีหัวใจผูกพันอยู่กับอิมาม (ผู้นำ) หนึ่ง และดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางของอิมามนั้นๆ ในโลกอาคิเราะฮ์เขาก็จะถูกรวมอยู่ในแถวของอิมามนั้นๆ

บะชัร บินฆอลิบ ได้เล่าว่า : ฉันถามท่านอิมามฮุเซ็น (อ.) เกี่ยวกับการอรรถาธิบายโองการที่ว่า (จงรำลึกถึง) วันซึ่งเราจะเรียกมนุษย์ทุกคนพร้อมกับผู้นำของเขา” (แท้จริงแล้วการสนทนาและคำถามนี้เกิดขึ้นในขณะที่ท่านอิมามฮุเซ็น (อ.) ได้มาถึงยังตำบลซะอ์ละบียะฮ์ ซึ่งอยู่ระหว่างเส้นทางที่ท่านอิมาม (อ.) เดินทางออกไปจากนครมักกะฮ์เพื่อมุ่งหน้าสู่กูฟะฮ์หรือกัรบะลาอ์)

ท่านอิมามฮุเซ็น (อ.) ได้ตอบเขาว่า “อิมามหนึ่งเรียกร้องไปสู่ทางนำ และมนุษย์กลุ่มหนึ่งก็ตอบรับเขา และอีกอิมามหนึ่งนั้นเรียกร้องไปสู่ความหลงผิด โดยที่ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งก็ตอบรับเขา กลุ่มบุคคลกลุ่มแรกนั้นจะอยู่ในสรวงสวรรค์ และกลุ่มบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งนั้นจะเข้าอยู่ในไฟนรก และนั่นคือพระดำรัสของอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่ง ที่ว่า “กลุ่มหนึ่งอยู่ในสวรรค์และอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในนรก” (8)

ท่านอิมามฮุเซ็น (อ.) ได้ชี้ให้เห็นถึงบุคคลสองกลุ่มภายใต้การนำของอิมามสองประเภท คือ “อิมามุนนูร” (ผู้นำแห่งแสงสว่าง) และ “อิมามุนนาร” (อิมามแห่งไฟนรก) บุคคลสองกลุ่มนี้มีปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดเวลาในเวทีแห่งการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และผู้นำทั้งสองประเภทนี้ก็มีให้เห็นในทุกยุคสมัย จำเป็นที่เราจะต้องแยกแยะอิมาม (ผู้นำ) ของตนเอง และเลือกยึดถือปฏิบัติตามอิมามที่จะนำทางเราไปสู่ความสำเร็จและความไพบูลย์ในชีวิต และจงนำตัวออกห่างจากอิมาม (ผู้นำ) ที่จะชักนำเราไปสู่ความวิบัติและความอัปยศในชีวิต

คัมภีร์อัลกุรอานชี้ให้เราเห็นว่า ฟิรเอาว์ในขณะที่อยู่ในโลกดุนยานี้ เขาได้นำไพร่พลของเขามุ่งหน้าผ่านข้ามทะเลแดง เพื่อมุ่งหมายที่จะทำสงครามประหัสประหารท่านนบีมูซา (อ.) และบรรดาสาวกของท่าน แต่แล้วเขาก็ได้นำพาตัวเองและไพร่พลของตนจมดิ่งลงสู่ใต้กระแสน้ำของทะเลแดง ในวันกิยามะฮ์ก็เช่นเดียวกัน เขาจะนำพากลุ่มชนของเขาลงสู่ทะเลเพลิงแห่งนรก

“เขาจะนำหน้ากลุ่มชุนของเขาในวันกิยามะฮ์ แล้วนำพวกเขาเข้าสู่ไฟนรก (9)

ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้นจะเป็นสักขีพยานในประเด็นที่ว่า ตลอดทุกยุคสมัยจะมีเหล่ามารร้าย (ฏอฆูต) ที่ตั้งแถวเผชิญหน้ากับบรรดาศาสดาและอิมาม (ผู้นำ) แห่งพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่บรรดาศาสดาและอิมามแห่งพระเจ้าทำการเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ไปสู่ทางนำ (ฮิดายะฮ์) และแสงสว่าง (นูร) แต่ทว่าบรรดามารร้าย (ฎอฆูต) เหล่านั้นก็จะเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ไปสู่เส้นทางแห่งความหลงผิด (ฎอลาละฮ์) และไฟนรก (นาร)

ในประวัติศาสตร์เราได้พบเห็นอาดัม (อ.) ผู้ยืนหยัดอยู่ในฝ่ายธรรมะ แต่ขณะเดียวกัน เราก็พบเห็นอิบลิสซึ่งตั้งตนเป็นผู้นำอยู่ในฝ่ายของอธรรมและความหลงผิด ในประวัติศาสตร์เราได้เห็นกอบีลผู้พลีเพื่อพระเจ้า ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นฮาบีลผู้เป็นปฏิปักษ์ ผู้พลีเพื่ออารมณ์ใฝ่ต่ำของตนเอง (10) ในประวัติศาสตร์เรามีมหาบุรุษแห่งพระเจ้า คืออิบรอฮีม (อ.) ขณะเดียวกัน ก็มีนัมรูดตัวแทนของฝ่ายมารร้ายที่ตั้งตนเป็นคู่ปฏิปักษ์กับท่าน ฯลฯ

ในประวัติศาสตร์แห่งกัรบะลาอ์และวันอาชูรอก็เช่นกัน เราได้ประจักษ์ถึงมนุษย์สองกลุ่มและผู้นำสองแบบ กลุ่มหนึ่งได้แก่มนุษย์ที่สติปัญญาของพวกเขาสามารถพิชิตและควบคุมอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาได้ จนเป็นเหตุทำให้พวกเขาเข้าอยู่ในฝ่ายแห่งทางนำ (ฮิดายะฮ์) และแสงสว่าง (นูร) ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นพวกที่พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ใฝ่ต่ำของตนเอง ตกเป็นทาสของตัณหาและความใคร่ จนเป็นเหตุทำให้พวกเขาเข้าอยู่ในฝ่ายแห่งความหลงผิด (ฎอลาอะฮ์) และความมืดมน (ซุลมะฮ์) และทั้งสองกลุ่มนี้ต่างดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายและเจตนารมณ์อันสูงสุดของตนเอง ภายใต้การชี้นำของอิมามของตนเอง

กลุ่มแรก อิมามของพวกเขาคืออิมามฮุเซ็น (อ.) ซึ่งเป็นอิมามุนนูร (ผู้นำแห่งแสงสว่าง) ส่วนผู้ที่อยู่ในฝ่ายตรงข้าม อิมามของพวกเขาคือยะซีด บุตรของมุอาวิยะฮ์ (ขออัลลอฮ์ทรงสาปแช่งบุคคลทั้งสอง) ซึ่งเป็นอิมามุนนาร (ผู้นำแห่งไฟนรก).

เชิงอรรถ

1. บิฮารุล อันวาร, เล่มที่ 57, หน้า 299.

2. ซูเราะฮ์ อันนิซาอ์, โองการที่ 76.

3. หนังสือตัฟซีรซอฟี.

4. ซูเราะฮ์ อัล อับบิยาอ์,โองการที่ 73.

5. ซูเราะฮ์ อัล กอซอซ, โองการที่ 41.

6. หนังสือตัฟซีรซอฟี, อธิบายโองการข้างต้น.

7. ซูเราะฮ์ อัล อิสรออ์, โองการที่ 71.

8. ซูเราะฮ์ อัชชูรออ์, โองการที่ 7 ; ฮะดีษจากหนังสือตัฟซีรนุรุษษะกอลัยน์.

9. ซูเราะฮ์ ฮูด, โองการที่ 98.

10.ซูเราะฮ์ อัล มาอิดะฮ์, โองการที่ 27.