อิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ได้รับชะฮีด (พลีในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) ในวันศุกร์ที่ 8 เดือนรอบีอุลเอาวัล ปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 260 ในขณะที่ท่านกำลังปฏิบัตินมาซศุบฮ์ ท่านอิบนิบาบุวัยฮ์ และนักบันทึกประวัติศาสตร์ท่านอื่นๆ ได้บันทึกไว้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) โดยการลอบวางยาพิษคือ “มุอ์ตะมิด” แห่งราชวงศ์อับบาสีย์
ในขณะที่บิดาของท่าน (อิมามฮาดีย์ (อ) เป็นชะฮีด (พลีชีวิตในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) ท่านมีอายุ 22 ปี และเป็นการเริ่มช่วงแห่งการเป็นอิมาม (ผู้นำประชาชาติอิสลาม) ของท่านภายหลังจากบิดาของท่านเสียชีวิตนั้น มีระยะเวลาหกปี
อิมามฮะซัน อัสกะรีย์ (อ) ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองสะมัรฺรอประเทศอิรัก พร้อมกับบิดาของท่านตั้งแต่อายุสี่ปี ท่านอยู่ในการเฝ้าสังเกตจับตามองของผู้ครองในสมัยนั้นอย่างใกล้ชิด ด้วยกองกำลังของเขาตลอดเวลา และที่นั่นเองที่ท่านได้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันในนาม “อัสกรีย์”
เมื่อบิดาของท่านเสียชีวิต ผู้ปกครองมุอ์ตะมิดแห่งวงศ์อับบาสีย์ได้คุมขังท่านไว้ ทว่าความเคร่งครัดในศาสนา และการรักษาความบริสุทธิ์ ทำให้ท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) เป็นที่ดึงดูดความสนใจของนักโทษทุกคนในที่คุมขัง เจ้าหน้าที่และสายลับของผู้ปกครอง ก็รายงานสถานการณ์ให้เขาได้รับรู้เรื่องทุกวัน
มุอ์ตะมิด แห่งราชวงศ์อับบาสีย์ พึงรู้ดีว่า วิชาการความรู้ และฐานภาพทางด้านจิตวิญญาณของอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ในสังคมมุสลิมวันนั้นเป็นที่เลื่องลือ และกำลังซึมซาบเข้าไปในหมู่ประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ดีว่าการมีชีวิตอยู่ของอิมามฮะซัน อัสการีย์ จะนำมาซึ่งความล่มสลายของการปกครองของเขาอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้ตัดสินใจลอบสังหารอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) โดยการสั่งให้ลอบวางยาพิษท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ทันทีในวันที่ 1 รอบิอุลเอาวัล และหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันที่ท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ต้องทนเจ็บจากพิษของยาพิษทำให้ท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) เป็นชะฮีด (เสียชีวิตในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) ในวันที่ 8 รอบีอุลเอาวัลในที่สุด ปีฮิจญเราะฮ์ศักราชที่ 260 ในขณะที่ท่านมีอายุเพียง 28 ปี และร่างของท่านถูกฝังที่สะมัรฺรอใกล้กับหลุมของบิดาท่านนั่นเอง
มุอ์ตะมิด และเหล่าราชวงศ์อับบาสีย์ ได้มีความพยายามอย่างมากมายที่จะปกปิดข่าวการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) เพื่อต้องการที่จะทำการฝังศพของอิมาม (อ) อย่างเงียบๆ และเฉกเช่นคนปกติธรรมดา ทว่าเรื่องนี้ไม่สามารถที่จะปกปิดจากบรรดาชีอะฮ์ของอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ได้
ในที่สุดข่าวการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ก็ได้แพร่ขจายไปทั่วเมืองสะมัรรออ์ อย่างรวดเร็ว ประชาชนจำนวนมากได้แห่กันมาพลางส่งเสียงร้องแสดงความโศกเศร้าเสียใจ ตลาดต่างๆ ร้านค้าทั้งหมด ปิดทำการทันที ทั้งคนที่มีฐานะ และคนทั่วไปต่างก็มุ่งมาร่วมพิธีนมาซญะนาซะฮ์ของท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ)
มีรายงานบันทึกว่า “เมื่อร่างอันไร้วิญญาณของอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ถูกอาบน้ำฆุซุล และห่อผ้ากะฟั่น เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องนมาซญะนาซะฮ์ ได้มี “ญะอ์ฟัร” พี่ชายของท่านอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ได้ออกไปยืนเพื่อที่เป็นอิมามนมาซญะนาซะฮ์ทันที แต่ทว่าเมื่อเขาได้ยกมือขึ้นที่จะกล่าวตักบีร ขณะนั้นเองได้มีเด็กคนหนึ่งที่มีผมดกดำ หน้าตาสวยงาม ได้เดินออกมาจากห้องหนึ่งภายในบ้านของอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ)
ได้เดินตรงไปข้างหน้า และหยิบเสื้อคลุมของ “ญะอ์ฟัร” และได้เชิญให้เขาออกไปข้างๆ และได้กล่าวขึ้นว่า “โอ้ท่านลุง ออกไปข้างๆ เถิด ฉันจะเป็นคนนำนมาซญะนาซะฮ์ให้กับบิดาของฉันเอง” ญะอ์ฟัร ในเวลานั้นกำลังอยู่ในภวังค์ ก็ได้ถอยออกไป และเด็กคนนั้นก็ได้นำนมาซญะนาซะฮ์จนเสร็จ และได้ฝังร่างของอิมามฮะซัน อัสการีย์ (อ) ใกล้ๆ กับร่างของอิมามฮาดีย์ (อ)
ในรายงานได้บันทึกว่า เด็กคนนั้น ก็คือ อิมามมะฮ์ดี (อ) บุตรชายคนเดียวของท่านคือ อิมามมุฮัมมัด อัลมะฮฺดีย์(อ.) ผู้ซึ่งจะมาสถาปนาความยุติธรรม ความเท่าเทียม และความเสมอภาคบนโลกนี้ และภายหลังจากนั้น การหายตัวไปของอิมามมะฮฺดีย์ (อ) ในระยะสั้น และระยะยาวก็ได้เริ่มต้นขึ้น
พระผู้เป็นเจ้า ผู้รักษา และผู้ปกป้องศาสดามูซา (อ.) จากฟาโรห์ ย่อมสามารถนำบุคคลผู้เป็นผู้นำประชาชาติอิสลามมาสู่โลกนี้ได้โดยประชาชนทั่วไปไม่ได้รับรู้ มีเพียงแค่สหายผู้ใกล้ชิดบางคนเท่านั้นที่ได้รับรู้เรื่องนี้