วันที่ 24 เดือนซุลฮิจยะฮ์ ปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 10 มีเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์อิสลามเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักนาม “มุบาฮะละฮ์” อันเป็นที่มาของการประทานโองการอัลกุรอาน โองการที่ 61 จากบทอาลิอิมรอน
มุบาฮะละฮ์ เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่พิสูจน์ถึงความประเสริฐและสถานภาพอันยิ่งใหญ่ของอะ ฮ์ลุลบัยต์ (อ) ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) “นัจญ์รอน” เป็นเมืองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในแผ่นดินฮิญาซ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเยเมน ในช่วงเริ่มแรกของอิสลาม ชาวเมืองนัจญ์รอนเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์ โดยมีความเชื่อว่า เยซูหรือศาสดาอีซา (อ) คือ บุตรของพระผู้เป็นเจ้า จนกระทั่งปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 10 ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ส่ง คอลิด บินวาลิด ไปยังเมืองนัจญ์รอน เพื่อเรียกร้องเชิญชวนชาวเมืองนั้นมาสู่อิสลาม ประชาชนจำนวนมากได้ยอมรับศาสนาอิสลาม แต่มีประชาชาวเมืองจำนวนหนึ่งยังคงอยู่ในศาสนาคริสต์
หลังจากเหตุการณ์ดัง กล่าวท่านศาสนทูต (ศ) เขียนสาส์นฉบับหนึ่งส่งไปยังบรรดาผู้นำคริสเตียนแห่งนัจญ์รอน เมื่อพวกเขาได้รับสาสน์จากท่านศาสนทูต (ศ) พวกเขารู้สึกหวาดกลัว และภายหลังจากการปรึกษาหารือกันแล้ว พวกเขาได้ตัดสินใจส่งคณะบุคคลจำนวนหกสิบคน เดินทางไปยังนครมาดีนะฮ์ เพื่อพบกับท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ)
เมื่อคณะของ คริสเตียนชาวนัจญ์รอนมาพบกับท่านศาสนทูต (ศ) มีการสนทนาและโต้แย้งกันในเรื่องของหลักความเชื่อเกี่ยวกับเอกภาพของพระผู้ เป็นเจ้า โดยเฉพาะในเรื่องของศาสดาอีซา (อ) ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเยซูหรืออีซา (อ) เป็นบุตรของพระเจ้า เนื่องจากไม่มีบิดา ท่านศาสนทูตแห่ง (ศ) ตอบโต้พวกเขาโดยอ้างหลักฐานถึงศาสดาอาดัม (อ) ที่ไม่มีทั้งบิดาและมารดา จนทำให้ชาวคริสเตียนแห่งนัจญ์รอนไม่สามารถกล่าวโต้แย้งอะไรได้อีก ท่านศาสนทูต (ศ) จึงเชิญชวนพวกเขาให้เข้ารับอิสลาม แต่พวกเขาก็ยังยืนกรานปฏิเสธ ในช่วงเวลานั้นเอง อัลลอฮ์ (ซบ) ได้ทรงประทานโองการลงมายังศาสดามุฮัมหมัด (ศ) โดยมีความว่า
“ดังนั้นผู้ใดที่ โต้เถียงเจ้าในเรื่องของเขา (อีซา) ภายหลังจากที่ความรู้ได้มายังเจ้าแล้ว เจ้าก็จงกล่าว (กับพวกเขา) เถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราจะเรียกลูกๆ ของเราและลูกๆ ของพวกท่าน และเรียกบรรดาสตรีของเราและบรรดาสตรีของพวกท่าน และตัวของเราและตัวของพวกท่านมา แล้วเราก็จะวิงวอน โดยขอให้การสาปแช่งของอัลลอฮ์จงประสบแก่บรรดาผู้มดเท็จ” (บทอาลิอิมรอน, โองการที่ 61)
เมื่อโองการดัง กล่าวถูกประทานลงมา ท่านศาสนทูต (ศ) เสนอแนะให้ชาวคริสเตียนแห่งนัจญ์รอน ทำการมุบาฮะละฮ์ (วิงวอนต่ออัลลอฮ์ให้สาปแช่งและลงโทษฝ่ายที่มิได้อยู่บนสัจจธรรม) พวกเขายอมรับข้อเสนอดังกล่าว
ระหว่างการรอคอย เช้าของวันใหม่ เพื่อเข้าสู่พิธีการ มุบาฮะละฮ์ คณะของชาวคริสเตียนแห่งนัจญ์รอน มีการชุมนุมปรึกษาหารือกัน หัวหน้าบาทหลวงได้กล่าวขึ้นกับพวกเขาว่า “ในวันพรุ่งนี้ หากมุฮัมมัดนำสาวกของเขามาทำมุบาฮะละฮ์กับพวกเรา เราก็จะทำมุบาฮะละฮ์กับเขา แต่หากการมุบาฮะละฮ์ของเขา ได้นำเอาเครือญาติใกล้ชิดมาร่วมในการมุบาฮะละฮ์ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า เขาคือศาสดาของพวกเจ้าอย่างแท้จริง และเป็นผู้สัจจริงในคำกล่าวอ้างของตนเอง”
เช้าตรู่ของวัน รุ่งขึ้น ชาวคริสเตียนแห่งนัจญ์รอนออกมายังสถานที่นัดหมาย และรอคอยการมาของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นท่านศานทูต (ศ) กำลังเดินทางมา โดยอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่ง พร้อมกับจูงมือเด็กน้อยอีกคนหนึ่งมาด้วย โดยมีสตรีผู้หนึ่งและบุรุษอีกผู้หนึ่งเดินตามหลังท่านมา
ในเวลานั้นท่านศาสนทูต แห่งอัลลอฮ์ (ศ) ได้กล่าวกับผู้ร่วมเดินทางมากับท่านว่า “เมื่อฉันวิงวอนต่ออัลลอฮ์ พวกเจ้าก็จงกล่าวคำว่า “อามีน” เถิด”
บรรดาบาทหลวงชาว นัจญ์รอน ได้สอบถามชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรจำนวนมากมายที่กำลังเฝ้ารอดูเหตุการณ์มุ บาฮะละฮ์ว่า “บุคคลเหล่านี้มีสายสัมพันธ์ต่อมุฮัมมัดอย่างไร?” พวกเขาตอบว่า “บุรุษผู้นั้นคือ อะลี อิบนิ อบีฏอลิบ” เป็นบุตรเขยของท่าน และสตรีผู้นั้นคือ ฟาฏิมะฮ์ บุตรีของท่าน ส่วนเด็กน้องสองคนนั้นคือ ฮะซันและฮูเซน บุตรของฟาฏิมะฮ์กับอะลี”
นักบวชชาว คริสเตียน เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ก็รู้สึกหวาดหวั่นและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก โดยที่หัวหน้าคณะของพวกเขาได้กล่าวขึ้นว่า “ขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า ฉันเห็นใบหน้าของบุคคลเหล่านั้นแล้ว หากพวกเขาวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าให้บรรดาภูเขาทั้งหลายถล่มลงมาเป็นหน้า กอง การวอนขอของพวกเขาก็จะไม่ถูกปฏิเสธ ดังนั้น พวกเจ้าจงอย่าทำการมุบาฮะละฮ์กับพวกเขาเลย มิเช่นนั้นพวกท่านจะพบกับความพินาศ และจะไม่มีคริสเตียนคนใดหลงเหลืออยู่บนหน้าแผ่นดินนี้อีกเลย จวบจนถึงวันกิยามัต (ปรโลก)”
พวกเขากล่าวกับ ท่านศานทูต (ศ) ว่า “โอ้ อบุลกอซิมเอ๋ย! เราไม่ขอทำการมุบาฮะละฮ์กับท่านแล้ว ท่านจงนับถือศาสนาของท่าน และโปรดปล่อยให้พวกเราอยู่บนศาสนาของพวกเราต่อไปเถิด”
ท่านศาสนทูต (ศ) กล่าวว่า “หากพวกท่านไม่พร้อมที่จะมุบาฮะละฮ์กับเรา ก็จงยอมรับอิสลามเสียเถิด” หัวหน้าบาทหลวงกล่าวว่า “เราไม่ขอเข้ารับอิสลาม และพวกเราก็ไม่มีความสามารถที่จะทำสงครามกับพวกท่าน แต่พวกเราจะขอจ่ายเครื่องบรรณาการเหมือนกับบรรดาชาวคัมภีร์ทั้งหลาย” ท้ายที่สุดท่านศาสทูต (ศ) ได้ยอมรับข้อเสนอของพวกเขา
นั่นคือเรื่องราวโดย สรุปของเหตุการณ์มุบาฮะละฮ์ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ทุกเล่ม และในหนังสือที่สำคัญของพี่น้องอาฮ์ลิซซุนนะฮ์ ก็อ้างอิงเรื่องราวนี้ไว้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
ซอเอี๊ยะฮ์ มุสลิม เล่มที่ 7, หน้าที่ 120
มุสนัด อะห์หมัด อิบนิฮัมบัล, เล่มที่ 1, หน้าที่ 185
ตัฟซีร อัฏฏ็อบรี, เล่มที่ 3, หน้าที่ 195
มุสตัดร็อก อะลัซ ซอฮีฮัยน์, เล่มที่ 3, หน้าที่ 150
กิตาบ ดะลาอิลุลนุบูวะฮ์, ฮาฟิส อบูนะอีม, หน้าที่ 297
ตัฟซี ฟัครุรรอซี, เล่มที่ 8, หน้าที่ 85
เหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ในวันนี้เช่นเดียวกัน
ใน หนังสือ “มะฟาติฮุลญินาน” ของท่านเชคอับบาส กุมมี กล่าวว่า ในวันนี้ก่อนที่ท่านศาสนทูต (ศ) จะออกไปทำการมุบาฮะละฮ์ ท่านได้นำผ้าคลุมกาย (กิซาอ์) มาคลุมตัวท่านและเรียกบุคคลทั้งสี่เข้ามาอยู่ใต้ผ้าคลุมนั้น และวิงวอนขอพรต่ออัลลอฮ์ (ซบ) จนเป็นที่มาของการประทานโองการอัลกุรอานที่รู้จักในนาม “อายะฮ์ อัตตัฏฮีร” (บทอะฮ์ซาบ โองการที่ 33)
และในวันเดียวกัน นี้เองที่ท่าน อะมีรุลมุอ์มินีน อะลีอิบนิ อะบีฏอลิบ (อ.) ได้บริจาคทานแหวนของท่านให้แก่คนยากไร้ผู้หนึ่งในขณะรุกูอ์ และเป็นที่มาของการประทานโองการที่เรียกว่า “อายะฮ์ อัลวิลายะฮ์” (บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 55)
เนื่องจากความจำกัดของ บทความนี้ จึงไม่อาจนำรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งสองมานำเสนอในที่นี้ได้ หากพี่น้องประสงค์ สามารถค้นหาดูในหนังสือประวัติศาสตร์อิสลาม เช่น “มุฮัมมัด (ศ) รัศมีนิรันดร” “ชำระประวัติศาสตร์อิสลาม” หรือ “อัลมุรอญิอาต” ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษาไทยแล้ว
บทความโดย เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ