ชีอะฮ์ที่แท้จริงคือใคร? ตอนที่ 2

173

ชีอะฮ์ของเรา คือบรรดาผู้ที่เมื่อใช้อำนาจเพื่อปฏิบัติภารกิจหนึ่งภารกิจใด แต่เขามิได้ใช้อำนาจนั้นอย่างกดขี่ข่มเหง

โดย ส่วนมากแล้วมนุษย์เมื่อได้มีตำแหน่ง อำนาจใดก็ตาม ก็มักจะใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ไปเพื่อประโยชน์ของตน และพวกพ้องทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า เขากำลังใช้อำนาจหน้าที่ไปในรูปของการกดขี่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ชีอะฮ์ที่แท้จริง เขาจะใช้อำนาจหน้าที่ของเขาเพื่อรับใช้พี่น้องผู้ศรัทธาและอิสลามเท่านั้น

เขาจะต้องปฏิบัติ ต่อคนทั้งปวงด้วยความนอบน้อมถ่อมใจ ไม่ว่าคนๆนั้นจะอยู่ในฐานะใด จะยากจนหรือมั่งมี จะเข้มแข็งหรืออ่อนแอ เขาจะต้องให้เกียรติทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เพราะผู้ที่เป็นผู้นำ และเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือผู้ที่รับใช้คนอื่นไม่ใช่ให้คนอื่นรับใช้ตน เอง

ตัวอย่างเช่นใน ครั้งหนึ่งเมื่อมีชายคนหนึ่งประสงค์จะช่วยถือรองเท้าให้ท่านอิมามอะลี (อ.) แต่ท่านอิมามอะลี (อ) ได้ปฏิเสธ และนั่นแสดงให้เห็นว่า แม้แต่รองเท้าของท่าน ท่านก็ไม่ให้ใครช่วยถือ เพราะท่านถ่อมใจต่อคนทั้งปวง และไม่ใช้อำนาจของท่านในการเอาเปรียบคนอื่นโดยเฉพาะคนที่ถือว่าต่ำต้อยกว่า ทั้งๆที่ทั้งฐานะ และตำแหน่งของท่าน นั้นเหมาะสม และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องให้คนอื่นรับใช้ท่าน ท่านสามารถใช้อำนาจของท่านทำสิ่งใดก็ได้ แต่ท่านก็ไม่ได้ใช้อำนาจที่ท่านมีในการกดขี่ข่มเหงคนอื่น ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำของท่าน เพราะฉนั้นชีอะฮ์ที่แท้จริงจึงไม่ใช่บรรดาผู้ใช้อำนาจในการกดขี่ หรือ เอาเปรียบคนอื่น แต่ชีอะฮ์ที่แท้จริงคือ บรรดาผู้ที่ปฏิบัติต่อคนทั้งปวงด้วยความถ่อมใจ

ชีอะฮ์ของเรา คือบรรดาผู้ที่ดีใจพอใจในสิ่งหนึ่ง แต่เขาจะไม่สุรุ่ยสุร่ายให้กับความพึงพอใจนั้น

มนุษย์ เมื่อบรรลุสู่เป้าหมายในภารกิจหนึ่งภารกิจใด เขามักจะหลงลืมพระผู้เป็นเจ้า อาธิเช่นทำธุรกิจหนึ่งได้กำไรอย่างมากมาย และใช้จ่ายไปด้วยความสุรุ่ยสุร่ายในทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาได้มา เพื่อตอบสนองตัณหาของตัวเอง และในขณะเดียวกันเขากลับหลงลืมการหยิบยื่นทรัพย์สินแก่ผู้ยากไร้ และเด็กกำพร้า เขาลืมแม้แต่จะขอบพระคุณพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์ประทานให้เขามา หลงระเริงอยู่กับความสุขที่เขาได้มาแค่ชั่ววูบ ลืมแม้แต่จะนึกถึงว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงของสิ่งเหล่านั้น

แต่ชีอะฮ์ที่แท้จริง เมื่อเขาพึงพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด เขาจะไม่นิ่งนอนใจที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณยังพระองค์ เขาจะขอบคุณพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่ลืมที่จะหยิบยื่นให้กับคนยากไร้ และเด็กกำพร้า และจะใช้ทรัพย์สินเหล่านั้นอย่างระมัดระวังและให้เกิดประโยชน์สูงสุดในหนทาง ของพระองค์ เขาจะลงทุนในสิ่งที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอนิจจังที่วันหนึ่งต้องสูญหายไป และไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับเขาเลย ชีอะฮ์ที่แท้จริงจะเอื้อเฟื้อและแบ่งปันต่อผู้อื่นไม่ใช่หยิ่งลำพอง หรืออวดตัวในสิ่งที่ได้มา

ชีอะฮ์ของเรา จะเป็นสิ่งที่มีความสิริมงคล (บารอกะฮ์) ต่อบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ข้างบ้านของเขา

อิสลาม คือศาสนาที่เป็นครรลองชีวิต อิสลามมีคำสอนในทุกแง่มุมของการดำเนินชีวิต และให้ความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสันติ นอกจากความสำคัญของบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคลในครอบครัวตัวเองซึ่งเป็นหน่วย ที่เล็กที่สุดของสังคมแล้ว อิสลามยังเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของเพื่อนบ้าน ซึ่งถือเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้นมาเป็นอันดับที่สอง มนุษย์จะอยู่อย่างสงบสันติไม่ได้ถ้าหากไม่เป็นมิตรกับเพื่อนบ้าน

เพื่อนบ้านมีสถานะ พิเศษในอิสลาม อิสลามได้ส่งเสริมให้มุสลิมปฏิบัติตนต่อเพื่อนบ้านของเขาด้วยวิธีที่สุภาพ อ่อนโยน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตวิญญาณดั้งเดิมที่แท้จริงของอิสลาม ที่ต้องแสดงเป็นตัวอย่างของการคำนึงถึงจิตใจของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนบ้าน ไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิมด้วยกันหรือเป็นศาสนิกอื่น

ชีอะฮ์ที่แท้จริง จะต้องเป็นที่พึ่งพาแก่เพื่อนบ้าน เป็นหน้าตาของเพื่อนบ้าน เขาจะคอยดูแลความเรียบร้อย ความสงบสุขแก่เพื่อนบ้าน เขาจะไม่ปล่อยให้เพื่อนบ้านต้องอดอาหาร หรือต้องพบกับความยากลำบากอย่างเด็ดขาด

ชีอะฮ์ของเรา เป็นความสันติให้กับผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขา

ณ วันนี้มนุษย์ทุกคนต้องใช้ขีวิตในสังคม นั่นคืออาศัยอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นด้วยกัน และสังคมก็ต้องมีความสันติ มีความสงบ ปราศจากคนชั่ว อบายมุขต่างๆ หากสังคมใดมีแต่คนชั่ว มีแหล่งอบายมุข หรืออะไรก็ตามที่เป็นเหตุให้ศีลธรรมของมนุษย์เสื่อมเสีย แน่นอนผู้ที่อาศัยอยู่ในสังคมนั้น ก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้

ดังนั้นในทุกสังคมต้อง มีการช่วยกันทะนุบำรุงสังคมนั้นๆ เพื่อให้เป็นสังคมที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต เรื่องของความสะอาด เรื่องของความเจริญ เรื่องของการเมือง และในทุกๆ เรื่อง ชีอะฮ์ที่แท้จริงต้องมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมที่เขาอาศัยอยู่ จะต้องสร้างความสงบ สันติ นำความเจริญมาสู่สังคมนั้น

ชีอะฮ์ที่แท้จริง ต้องเป็นเสมือนดวงดาวที่ส่องแสงอยู่ตลอดเวลาในฟากฟ้า เพื่อให้ความสว่างแก่สิ่งอื่นๆ ชีอะฮ์ต้องเป็นผู้ที่ชักชวนคนอื่นๆ ในสังคมไปสู่การกระทำความดี และต้องเป็นผู้ที่จะห้ามปรามผู้อื่นให้ออกจากการกระทำความผิดบาป ชีอะฮ์ที่แท้จริงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่บุคคลอื่นในสังคมที่เขาอาศัย อยู่

โดยเชคมาลีกี ภักดี