อรุณรุ่งแห่งอิสลามในดินแดนอาหรับ ที่ถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฐิและความงมงาย ไม่เพียงแต่ได้พลิกหน้าประวัติศาสตร์ของดินแดนแห่งนั้น แต่ยังแผ่อิทธิพลไปยังประชาชาติและประชาชนอื่นๆ ทั่วโลกอีกด้วย ความเปลี่ยนแปลงในสังคมและประเพณีความเชื่อของปัจเจกชนนี้ เป็นผลสำเร็จจากการต่อสู้ดิ้นรนและพากเพียรพยายามหลายปีของท่านศาสดา(ศ.) และบรรดาสาวกผู้ใกล้ชิดที่บริสุทธิ์ใจของท่าน ซึ่งท่านอะลี(อ.) มีบทบาทสำคัญมากที่สุด
ความทุ่มเทสนับสนุนของท่านเพื่อเผยแพร่อิสลามเป็นอุทาหรณ์ที่ดี และท่านเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากอิสลามและศาสดาแห่งอิสลาม (ศ.) ที่มอบให้แก่มนุษยชาติ หนังสือจำนวนมากเขียนขึ้นเกี่ยวกับผลงานการเป็นผู้สนับสนุนของอิมามอะลี (อ.) ที่มีต่อการสถาปนารัฐอิสลามในประวัติศาสตร์อิสลาม
แต่บทความนี้จะขอนำเสนอเพียงบางส่วนอันน้อยนิดเท่านั้น
1. เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในมักกะฮฺ
– วันประกาศตัวผู้สนับสนุน
หลังจากโองการ “…และจงตักเตือนญาติสนิทที่ใกล้ชิดที่สุดของเจ้า…” ถูกประทานลงมา อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ได้บัญชาให้ท่านศาสดา (ศ.) ประกาศตัวต่อสาธารณะ และเชิญชวนผู้คนสู่การน้อมรับอิสลาม ท่านจึงสั่งให้อะลี (อ.) เตรียมอาหาร และเชื้อเชิญญาติสนิทมาร่วมรับประทาน
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ท่านได้ประกาศสถานภาพการเป็นศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าของท่าน และได้ถามขึ้นว่า “จะมีผู้ใดในหมู่พวกท่าน ที่จะเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือฉันในภารกิจของฉันบ้าง เพื่อที่จะเป็นพี่น้อง เป็นผู้สืบทอดของฉัน และเป็นผู้ปกครอง?” ในรายงานบันทึกว่ามีเพียงท่านอะลี(อ.) เท่านั้นที่ลุกขึ้นให้สัตยาบันและประกาศความพร้อมในการเป็นผู้สนับสนุน และเป็นผู้ช่วยเหลือของท่านศาสดา (ศ) ในวันนั้น ติดต่อกัน 3 ครั้ง และท่านศาสดา(ศ.) จึงได้แนะนำ และประกาศว่าอะลี จะเป็นผู้สืบทอด และเป็นผู้ปกครองภายหลังจากท่าน
เรื่องข้างต้นมีบันทึกอยู่ตำรับตำราของนักประวัติศาสตร์มุสลิมทั่วไป
– คืนแห่งการฮิจญเราะฮ์ (อพยพ)
แม้ชาวกุเรชจะขัดขวางไม่ให้อิสลามได้เผยแพร่ออกไป แต่ประชาชนชาว “ยัษริบ” (มะดีนะฮฺ) ก็ได้น้อมรับอิสลาม และให้สัตยาบันเพื่อปกป้องอิสลามด้วยดาบของพวกเขา เมื่อชาวกุเรชรู้ข่าวนี้จึงวางแผนจะลอบสังหารท่านศาสดา (ศ.) เมื่อท่านศาสดา (ศ.) ล่วงรู้ถึงแผนการร้ายนั้น ท่านจึงขอให้ท่านอะลี (อ.) สวมเสื้อคลุมของท่าน และนอนบนที่นอนของท่าน เพื่อทำลายแผนการร้ายของศัตรูอิสลาม และเพื่อท่านจะได้ “ฮิจเราะฮฺ” (อพยพ) จากมักกะฮฺไปยังมะดีนะฮฺได้อย่างปลอดภัย
เหตุการณ์ข้างต้น ได้สะท้อนให้เห็นความจงรักภักดีอย่างลึกซึ้ง ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นของอิมามอะลี (อ.) อย่างชัดแจ้งที่มีต่อศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ศ.) และมีต่อภารกิจอันสูงส่งของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ)
2. เหตุการณ์สำคัญในมะดีนะฮฺ
– การสมรสกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.)
หลังจากท่านศาสดา (ศ) เดินทางอพยพไปแล้ว อิมามอะลี (อ.) ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นำท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) บุตรสาวสุดที่รักของท่านศาสดา(ศ.) ไปยังมะดีนะฮฺ และหลังจากนั้นไม่นาน ท่านอะลี (อ.) ก็ได้สมรสกับท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ (อ.) ท่านยะอฺกูบี นักประวัติศาสตร์มุสลิมได้บันทึกไว้ว่า :
“ชาว ‘มุฮาญิรีน’ (ผู้อพยพจากมักกะฮฺไปมะดีนะฮฺ) กลุ่มหนึ่งได้สู่ขอฟาฏิมะฮ์ (อ) เพื่อแต่งงาน แต่พวกเขาถูกปฏิเสธจากท่านหญิงฟาติมะฮ์ (อ) และเมื่อพวกเขาทราบข่าวถึงการแต่งงานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) กับท่านอิมามอะลี (อ.) พวกเขาบางคนได้รีบรุดมาคัดค้านต่อท่านศาสดา (ศ.)
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ได้ตอบโต้การคัดค้านของพวกเขาโดยกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำการแต่งงานฟาฏิมะฮฺให้แก่อะลี แต่เป็นอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ที่ได้ทำการแต่งงานนางให้แก่อะลี” และในที่สุดสายสกุลของท่านศาสดา(ศ.) ก็กำเนิดผ่านการสมรสของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ.) และท่านอะลี(อ.) มาจวบจนยุคปัจจุบันนี้
– ความเป็นพี่น้องกับท่านศาสดา(ศ.)
ในการทำให้ชาวมุฮาญิรีน (ผู้อพยพจากมักกะฮฺ) กับชาวอันศอรฺ (ผู้ให้ความช่วยเหลือในมะดีนะฮฺ) ได้มีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน ท่านศาสดา (ศ.) จึงประกาศให้ทั้งสองฝ่ายจับคู่ทำสัญญาเป็นพี่น้องกันในหมู่พวกเขา ตัวท่านเองได้เลือกอิมามอะลี (อ.) มาเป็นพี่น้องของท่าน และกล่าวกับท่านอะลี (อ.)ว่า “เจ้าคือพี่น้องของฉัน เป็นผู้สืบทอด และเป็นผู้สืบสายสกุลของฉัน และฉันสืบสายสกุลมาจากเจ้า”
– ศาสดามุฮัมมัด (ศ.) บรรยายลักษณะการพลีชีพของท่านอะลี (อ.)
ระหว่างสงครามหนึ่งที่เกิดขึ้นในปีที่สองของการอพยพ ท่านศาสดา (ศ.) ได้ส่งท่านอะลี (อ.) และอัมมารฺ ไปปฏิบัติภารกิจหนึ่ง หลังจากนั้นท่านศาสดา (ศ.) ได้ตามไปสมทบ และพบว่าทั้งสองกำลังนอนหลับ เมื่อปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาแล้ว ท่านกล่าวว่า “จะให้ฉันบอกกับเจ้าเกี่ยวกับชายสองคนที่ชั่วร้ายที่สุดในบรรดามนุษย์ทั้งหมดไหม?” เมื่อได้รับคำตอบรับแล้ว ท่านจึงกล่าวต่อไปว่า “เขาคือคนที่ฆ่าอูฐของซอลิห์ และคนที่จะฟันลงบนศีรษะของเจ้า (อะลี) จนเลือดไหลอาบเคราของเจ้า”
– ความกล้าหาญในสนามรบ เอกลักษณ์ของท่านอะลี (อ.)
นอกจากสงครามตะบู๊กที่ท่านศาสดาสั่งให้ท่านอะลี (อ.) อยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ ในทุกสมรภูมิท่านอะลี (อ) ได้เข้าร่วมรบ และมีบทบาทสำคัญในทุกสมรภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามบะดัร ซึ่งท่านสังหารทหารของศัตรูได้ 32 คน ด้วยมือเพียงข้างเดียว และอิมามอะลี (อ.) เป็นสาวกคนเดียวของท่านศาสดา (ศ.) ที่ไม่เคยหนีจากสมรภูมิรบเลย
นักประวัติศาสตร์รายงานว่ามีสาวกของศาสดา(ศ.) จำนวนมากหนีการสู้รบในสงครามอุฮุด, คอยบัร และฮูนัยน์ (ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าใคร?? จากผู้แปล…)
– อิมามอะลี (อ.) เป็นผู้พิพากษาในเยเมน
ภายหลังจากที่ท่านศาสดา (ศ.) อพยพไปมะดีนะฮฺ อิสลามก็ได้เผยแพร่ไปในคาบสมุทรอาหรับอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลจากการที่ท่านศาสดา (ศ.) ได้ส่งอิมามอะลี (อ.) ไปเผยแพร่อิสลามในดินแดนต่างๆ และท่านศาสดา (ศ.) ได้ขอให้อิมามอะลี (อ.) ไปยังเยเมนเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา อิมามอะลี (อ.) กล่าวแก่ท่านศาสดา (ศ.) ว่า “ฉันอายุยังน้อย และไม่มีความรู้เรื่องการตัดสินความเลย”
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ศ.) วางมือบนอกของท่านอะลี (อ.) และขอพรว่า “โอ้อัลลอฮฺ โปรดชี้นำหัวใจของเขา และทำให้เขามีความเที่ยงตรงในการตัดสินด้วยเถิด” นักประวัติศาสตร์บันทึกคำพูดของอิมามอะลี (อ.) ว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เคยมีความสงสัยในการตัดสินพิพากษาระหว่างฝ่ายที่มีความขัดแย้งกันเลย”
และภายหลังจากท่านศาสดา (ศ.) วายชนม์ นักประวัติศาสตร์ทุกท่านต่างบันทึกเหมือนกันหมดว่า อิมามอะลี (อ) คือผู้ทายาททางความรุ้ของศาสดามูฮัมมัด (ศ) เพราะทั้ง อะบูบักร อุมัร อุสมาน ซึ่งถูกรู้จักในนามประมุขแห่งประชาชาติอิสลาม มักจะขอความเห็นจากท่านอะลี (อ.) เสมอในประเด็นต่างๆ และการตัดสินพิพากษาของพวกเขา
– ฆอดีรฺคุม
นักปราชญ์ทั้งฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺ ต่างรายงานเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่แสดงถึงสถานะและตำแหน่งของอิมามอะลี (อ.) อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่สำคัญมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่งก็คือ เหตุการณ์ที่ ‘ฆอดีรฺคุม’ ระหว่างการเดินทางกลับจากการทำฮัจญ์อำลา ท่านศาสดา (ศ.) ซึ่งได้หยุดที่สถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงว่า ‘ฆอดีรฺคุม’ และได้กล่าวคำเทศนาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อิสลาม นั่นคือการประกาศแต่งตั้งท่านอะลี (อ) ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำประชาชาติอิสลามภายหลังจากท่าน ในวันนั้นท่านศาสดา (ศ) ได้จับมือของท่านอิมามอะลี (อ.) แล้วชูขึ้น ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่มารวมตัวกันอยู่ที่นั่น และกล่าวว่า
“โอ้ประชาชนทั้งหลาย อำนาจการปกครองของฉันที่มีเหนือพวกท่าน (ผู้ศรัทธา) มีความสำคัญมากกว่า อำนาจปกครองของพวกท่านที่มีต่อตัวพวกท่านเองใช่หรือไม่?” เมื่อประชาชนพากันตอบรับต่อคำถามนี้ ท่านจึงประกาศต่อไปว่า “ใครก็ตามที่ฉันเป็นนายของเขา อะลีก็คือนายของเขา โอ้อัลลอฮฺ โปรดรักผู้ที่รักอะลี และเป็นศัตรูกับศัตรูของอะลี….”
Source : www.tebyan.net