อะฮฺลุลบัยตฺ คือบรรดาบุคคลผู้มีบุคลิกภาพอันสูงส่ง เป็นที่รักและเคารพของบรรดามุสลิมผู้มีความรักในศาสนทูตท่านสุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และเชื่อถือศรัทธาในภารกิจของท่านด้วยใจจริง มุสลิมรู้จักตำแหน่งอันสูงส่ง และอะฮ์ลุลบัยต์เป็นเสมือนดาวนำทางบนขอบฟ้าแห่งอิสลามนี้ ตั้งแต่ครั้งที่คัมภีรอัล-กุรอานอันประเสริฐได้ประกาศฉายาอันศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อระบุถึงครอบครัวของท่านศาสดาของเราดังโองการต่อไปนี้
“…อัลลอฮฺเพียงประสงค์ที่จะขจัดมลทินออกไปจากพวกเจ้า โอ้สมาชิกแห่งตระกูลวงศ์(อะฮฺลุลบัยตฺ) และทรงทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์” (อัล-กุรอาน 33/33)
การประทานโองการนี้ได้ส่งผลกระทบที่มีความสำคัญต่อประชาชาติมุสลิมในการสร้างประวัติศาสตร์และหล่อหลอมวัฒนธรรมขึ้น ผู้ทรงคุณวุฒิและนักศึกษาค้นคว้าของอิสลามมีความเห็นพ้องต้องกันในทัศนะนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าอัล-กุรอานไม่ได้กำหนดสภาวะผู้นำแก่ประชาชาติมุสลิมภายหลังจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เพราะเป็นไปไม่ได้ที่อัลลอฮฺ (ซ.บ) พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่จะทอดทิ้งมนุษยชาติไว้ โดยไม่มีผู้ชี้นำ เมื่อหมดสิ้นยุคแห่งการชีนำของศาสดาคนสุดท้าย
นอกเหนือจากจะได้รับเกียรติให้เป็นผู้ประเสริฐที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากบาปและความผิดพลาดแล้ว ยังมีโองการอื่นๆ จากอัล-กุรอานอีกมากมายที่บรรยายถึงพวกท่านด้วยสำนวนโวรหารชั้นสูง โองการเหล่านั้นเน้นถึงความสูงส่งของพวกท่านที่เหนือกว่าบรรดามุสลิมทั้งหลาย และยกพวกท่านให้เป็นเพชรน้ำหนึ่งแห่งคุณความดีที่ควรปฏิบัติตามในทุกด้าน เพื่อที่ชาวมุสลิมจะได้ยึดถือเป็นแบบอย่างตามปรัชญาการดำเนินชีวิตของอัล-กุรอาน
ความใกล้ชิดของพวกท่านที่มีต่อท่านศาสดา พร้อมกับความรู้อันกว้างขวาง, ความเคร่งครัดในหลักศาสนา, ศีลธรรม, ทัศนะอันสูงส่ง, ความมั่นคงเด็ดเดี่ยวในการปกป้องสิทธิจากการถูกกดขี่, การต่อสู้กับผู้ปกครองที่กดขี่และแนวคิดแบบสมบูรณายาสิทธิราช และเมื่อถึงเวลาก็ต้องจับดาบขึ้นต่อสู้เมื่อสถานการณ์แวดล้อมบีบบังคับ ทั้งหมดเหล่านี้ได้ทำให้อะฮฺลุลบัยตฺเป็นกลุ่มบุคคลที่พิเศษ
นักปราชญ์ผู้ทรงความรู้ของมุสลิมทั้งหมดมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ.), ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อ) บุตรสาวของท่าน, ท่านอะลี(อ) สามีของนาง, และท่านฮะซัน(อ)-ท่านฮุเซน(อ) บุตรชายของพวกท่าน เป็นบุคคลผู้ซึ่งอัลลอฮฺได้ทรงพิทักษ์ไว้ให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากความผิดบาปใดๆ
พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ความรักเคารพรักต่อพวกเขาเป็นกฎข้อบังคับเหนือประชาชาติทุกคน และอธิบายว่าสิ่งนั้นเป็นเสมือนการแสดงความขอบคุณของประชาชาติมุสลิมที่มีต่อศาสดามุฮัมมัด (ศ) ผู้เป็นที่รักของพวกเขา ซึ่งท่านได้เพียรพยายามนำแสงสว่างจากสาส์นแห่งอิสลามมายังพวกเขา
“…จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ฉันมิได้ร้องขอค่าตอบแทนใดๆ เพื่อการนี้ เว้นแต่ความรักใคร่ในญาติสนิทของฉัน และผู้ใดกระทำความดี เราจะเพิ่มพูนความดีในนั้นให้แก่เขา…” (อัล-กุรอาน 42/23)
เครื่องหมายที่แสดงถึงสถานะภาพอันทรงเกียรติของอะฮ์ลุลบัยต์อีกประการหนึ่งก็คือ กฎข้อบังคับในการกล่าวซอละวาต (ประสาทพร) แก่ท่านศาสดาและครอบครัว ซึ่งอัลลอฮฺได้ทรงบัญญัติไว้ในการนมาซประจำวันทั้งห้าเวลาที่มุสลิมต้องปฏิบัติ
“แท้จริงอัลลอฮฺและมะ ลาอิกะฮฺ(เทวทูต) ของพระองค์ประสาทพรแก่ศาสดา โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าจงประสาทพรให้เขาและกล่าวทักทายเขาโดยคารวะ” (อัล-กุรอาน 33/56)
ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺได้อธิบายวิธีการกล่าว “ประสาทพร” ดังที่ระบุไว้ในอัล-กุรอานเพื่อเป็นการสอนบรรดามุสลิม ไว้ดังนี้
“อัลลอฮุมมะ ซอลลิ อะลา มุฮัมมัด วะอาลิ มุฮัมมัด กะมา ซอลลัยตะ อะลา อิบรอฮีม วะ อาละ อิบรอฮีม อินนะกะ ฮามิดุน มะญีด”
(โอ้อัลลอฮฺ ขอทรงประสาทพรให้แก่มุฮัมมัด และวงศ์วาน(ผู้บริสุทธิ์)ของมุฮัมมัด เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงได้ประสาทพรให้แก่อิบรอฮีมและวงศ์วานของอิบรอฮีม พระองค์คือผู้ทรงควรแก่การสรรเสริญ ผู้ทรงประเสริฐยิ่ง)
อัล-กุรอานได้เน้นให้เห็นถึงตำแหน่งอันสูงส่งและความสำคัญของอะฮฺลุลบัยตฺ ก็เพื่อให้ประชาชาติมุสลิมได้ปฏิบัติตามแบบอย่างอันสมบูรณ์แบบของพวกท่าน เพื่อยึดถือพวกท่านเป็นแนวทาง และเพื่อให้รู้จักถึงสภาวะการเป็นผู้นำของพวกท่าน ภายหลังจากการจากไปของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)
Source: http://www.imamhussain.net